วันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2553

ฟอร์ซเซลTRUEถล่มตลาดราคาสะเด็ดน้ำ3.30บาท




:ดึงหุ้นตัวอื่นรูดตาม หาเงินไปคืนโบรกฯ วันศุกร์ที่ 24 กันยายน 2010 หุ้นทรูร่วงหนักผิดหวัง 3 จี โบรกฯเชือดพวกมาร์จิ้น บังคับขายกดราคารูดปรื๊ด 46% นับจากวันที่ 7 ก.ย. แถมดึงหุ้นตัวอื่นร่วงตาม เหตุต้องหาเงินไปคืนโบรกฯ งานนี้มีสิทธิกลับไปยืนที่เดิม 3.3 บาท กว่าจะสะเด็ดน้ำ หลังหมดข่าวประมูล 3 จีดันราคา ด้านตลาดฯไม่หวั่นตลาดรวมยังดี ต่างชาติซื้อสุทธิ ลุยหุ้นขนาดใหญ่ต่อเนื่อง



วานนี้ตลาดหุ้นผันผวนอย่างหนัก โดยดัชนีปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ระดับ 957.22 จุด และต่ำสุดที่ระดับ 945.27 จุด ซึ่งเป็นผลกระทบจากกรณีที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยืนตามศาลปกครองกลางที่ให้คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติหรือ กทช. ระงับการประมูลใบอนุญาต 3G และส่วนหนึ่งเกิดจากการบังคับขาย หรือฟอร์ซเซลหุ้น TRUE ออกมา หลังจากราคาลดลงอย่างต่อเนื่อง และยังมีแรงเทขายหุ้นตัวอื่นตามมา เช่น ธนาคารทหารไทย และกลุ่มพลังงาน เพื่อนำเงินไปวางหลักประกันหุ้น TRUE เพิ่ม

โดยจากการตรวจสอบพบว่ามีตัวเลขการปล่อยมาร์จิ้นในส่วนของหุ้น TRUE จำนวน 625 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 8.84% ของหุ้นจดทะเบียนทั้งหมด เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบเดือนกรกฎาคม 2553 อยู่ที่ 564 ล้านหุ้น

ขณะที่ราคาหุ้น TRUE ปรับตัวลดลงกว่า 46% นับจากวันที่ 7 กันยายน ราคาไปแตะระดับสูงสุด 7.70 บาท เทียบกับวันที่ 23 กันยายน (วานนี้) ปิดที่ราคาต่ำสุด 4.10 บาท

ด้านนักวิเคราะห์มองว่าวันนี้หุ้น TRUE ยังมีโอกาสลดลงต่อเนื่อง จากการถูกฟอร์ซเซล ซึ่งคาดว่าราคาจะซึมไปเรื่อยๆ จนไปถึงระดับเดิมที่ถูกลากราคามาก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม ที่ราคา 3.32 บาท เนื่องจากหุ้นดังกล่าวหมดข่าวดีมารองรับ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้ใช้ประเด็นการประมูล 3 จีเป็นตัวดันราคา

นายธนัท รังษีธนานนท์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์กรุงศรีอยุธยา จำกัด หรือ AYS กล่าวยอมรับว่า กรณีที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งระงับการประมูล 3 จี ของกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ชั่วคราววานนี้ ส่งผลกระทบต่อหุ้นกลุ่มสื่อสารอย่างมาก จนส่งผลให้ดัชนีช่วงท้ายตลาดปรับตัวลดลงเกือบติดลบ โดยส่วนหนึ่งมาจากการบังคับขายหุ้น TRUE แล้วโยงไปถึงการขาดความเชื่อมั่นในการถือหุ้นกลุ่มสื่อสาร ทำให้มีการเทขายจากนักลงทุนเกิดขึ้นต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตามเชื่อว่าเป็นผลกระทบเพียงแค่ช่วงสั้นๆ เท่านั้น เพราะนักลงทุนเริ่มที่จะหันไปลงทุนในหุ้นกลุ่มอื่นแทนมากกว่า อย่างเช่นหุ้นกลุ่มธนาคาร พลังงาน อสังหาริมทัพย์

นายพิชัย เลิศสุพงศ์กิจ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ฝ่ายการตลาดลูกค้าบุคคล บล.ธนชาต กล่าวว่า หุ้น TRUE มีการเล่นมาร์จิ้นกว่า 600 ล้านหุ้นในเดือนที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้ราคาหุ้นปรับขึ้นไปกว่า 7 บาท ตอนนี้ตกมาเกินกว่า 30% ดังนั้นจึงมีการเรียกวางหลักประกันเพิ่ม ถ้าไม่มีก็ต้องบังคับขายบางส่วน

ด้านนายเจริญ เอี่ยมพัฒนธรรม รองกรรมการผู้จัดการ บล.เคที ซีมิโก้ จำกัด กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยวานนี้ (23 ก.ย.) ผันผวนพอสมควร โดยดัชนีปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ระดับ 957.22 จุด และต่ำสุดที่ระดับ 945.27 จุด ซึ่งเป็นผลกระทบจากกรณีที่ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยืนตามศาลปกครองกลางที่ให้คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติหรือ กทช. ระงับการประมูลใบอนุญาต 3G

ทั้งนี้ ยอมรับว่า ส่งผลต่อจิตวิทยานักลงทุน โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มสื่อสารที่ปรับตัวลดลง อาทิ TRUE ที่ปรับลดลงแรง แต่ยังมองว่านักลงทุนต่างชาติยังลงทุนในประเทศไทยอยู่ ส่งผลให้ดัชนียังปิดตลาดในแดนบวกได้

ส่วนแนวโน้มในวันนี้(24 ก.ย.) มองว่าจะผันผวนต่อจากวานนี้ เนื่องจากยังมีแรงไหลเข้ามาลงทุนของนักลงทุนต่างชาติที่ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง

นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ ผู้ช่วยผู้จัดการสายงานการตลาดศูนย์ระดมทุน และผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ mai กล่าวว่า หลังจากศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยืนตามคำสั่งของศาลปกครองกลางในการระงับการประมูลใบอนุญาต 3 จีอย่างเป็นทางการแล้ว ทั้งนี้ มองว่าประเด็นดังกล่าวในเบื้องต้นเป็นที่แน่นอนว่าบรรยากาศการลงทุนในหุ้นกลุ่มสื่อสารได้รับแรงกดดัน แต่ภาวะการลงทุนโดยรวมมองว่าประเด็นดังกล่าวถือว่ายังอยู่ในทิศทางดี

“ภาพการลงทุนในช่วงที่ผ่านมาตั้งแต่ช่วงเดือนมกราคมถึงวันที่ 22 กันยายน ยอดซื้อสุทธิของต่างชาติมีประมาณ 2.7 หมื่นล้านบาท โดยเม็ดเงินส่วนใหญ่จะกระจุกตัวอยู่ในหุ้นกลุ่มธนาคาร พลังงาน อสังหาริมทรัพย์ ส่วนหุ้นกลุ่มสื่อสารนั้นก็มีบ้างแต่น้อยมากเมื่อเทียบกับเม็ดเงินที่เข้ามาลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคาร พลังงาน อสังหาฯ ซึ่งเม็ดเงินที่ลงในกลุ่มสื่อสารมีประมาณ 2,000 ล้านบาท เท่านั้นเอง ดังนั้น มองว่าภาพการลงทุนของตลาดไทยยังดี แม้มีข่าว 3 จีเข้ามากระทบบ้างก็ตาม” นายชนิตร กล่าว

นายชนิตร กล่าวอีกว่า หลังจากเกิดการปะทะรุนแรงทางการเมืองเมื่อช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ยอมรับว่านักลงทุนต่างชาติขายสุทธิประมาณ 5.9 หมื่นล้านบาท แต่หลังจากที่เหตุการณ์เริ่มคลี่คลายนักลงทุนกลุ่มดังกล่าวก็หันกลับเข้ามาลงทุนในตลาดทุนไทยเช่นเดิม โดยจะเห็นว่านับตั้งแต่เดือนมิถุนายนต่างชาติซื้อสุทธิประมาณ 2.8 พันล้านบาท เดือนกรกฎาคมต่างชาติซื้อสุทธิเพิ่มเป็น 6.8 พันล้านบาท เดือนสิงหาคมต่างชาติซื้อสุทธิประมาณ 1.06 หมื่นล้านบาท และมาในช่วงเดือนกันยายนต่างชาติซื้อสุทธิประมาณ 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือว่าแนวโน้มทางการตลาดอยู่ในทิศทางที่ดี

ทั้งนี้ ยอมรับว่าต่างชาติหันมาลงทุนในหุ้นกลุ่มขนาดใหญ่มากขึ้น หลังจากช่วงที่ผ่านมานักลงทุนส่วนใหญ่จะหันไปลงทุนในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กเป็นหลัก แต่พอในช่วงเดือนหลังของปีนักลงทุนหันมาลงทุนในกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่มากขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าในช่วงเดือนกันยายนสัดส่วนการลงทุนหุ้นขนาดใหญ่มีสูงถึง 75% จากช่วงเดือนสิงหาคมที่มีสัดส่วนการลงทุนเพียงแต่ 57% เท่านั้น ทั้งนี้ เชื่อว่าช่วงเดือนที่เหลือของปีนี้ นักลงทุนจะหันมาซื้อหุ้นขนาดใหญ่กันต่อเนื่อง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น