วันพุธที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2553

โบรกฯตีปีกQ3กำไรทะลัก!!

โบรกฯตีปีกQ3กำไรทะลัก!!

จับตางบ Q3/53 กลุ่มหลักทรัพย์!! คาดกำไรพุ่งกระฉูด ตามวอลุ่มเฉลี่ยต่อ
วันที่แตะ 3.5 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 52% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/53 แถมได้กำไร
จากพอร์ตลงทุนหนุนอีกแรง หลังดัชนีทะยานต่อเนื่องรวม 172.65 จุด หรือ 21.66%
ระยะสั้นนักวิเคราะห์เชียร์ซื้อ ASP-BLS-KGI-PHATRA เหตุมาร์เก็ตแชร์สูง-งาน
วาณิชฯชุก-ปันผลงาม แต่ระยะยาวมีความเสี่ยงเรื่องการแข่งขัน หลังเปิดเสรีค่าคอม
มิสชั่นปี 55
หุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ถูกคาดหมายว่าจะเป็นกลุ่มที่รายงานผลการดำเนินงาน
ไตรมาส 3/53 อย่างโดดเด่น ตามภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ที่คึกคักอย่าง
เห็นได้ชัด โดยหลายฝ่ายคาดการณ์ว่ากลุ่มหลักทรัพย์จะมีกำไรเพิ่มขึ้นมากในช่วง
Q3/53 จาก 2 สาเหตุ คือ รายได้จากค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ที่สูงขึ้น หลังวอลุ่ม
ซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้นถึง 52.49% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/53 และกำไรจากพอร์
ตลงทุนที่น่าจะสูงขึ้นเช่นกัน หลังจากที่ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วงไตร
มาส 3/53 จากระดับ 797 จุด มาปิดที่ 969.65จุด(29 ก.ย.53) หรือเพิ่มขึ้นกว่า
21.66%
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์มองว่าหุ้นหลักทรัพย์ที่น่าสนใจควรเป็นตัวที่มีส่วนแบ่ง
ตลาด(มาร์เก็ตแชร์)สูง และเป็นหุ้นที่มีงานวาณิชธนกิจมาก ขณะที่ราคาในกระดานยัง
ไม่สูงมาก และมีอัตราการจ่ายปันผลที่น่าสนใจ อาทิเช่น บล.เอเซีย พลัส(ASP) บล.
บัวหลวง(BLS) บล.ภัทร( PHATRA) และ บล.เคจีไอ(KGI) เป็นต้น
อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์มองว่าในระยะยาวหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ยังมีความ
เสี่ยงเรื่องการแข่งขันที่รุนแรง โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่มีการซื้อขายต่อวันสูงกว่า 20
ล้านบาทที่จะทวีความรุนแรงมากขึ้นเมื่อใกล้เปิดเสรีค่าคอมมิสชั่นเต็มรูปแบบในปี 55

กิมเอ็งชี้กลุ่มโบรกฯQ3/53 กำไรพุ่ง แต่ระยะยาวยังเสี่ยงเพราะแข่งขันสูง

บทวิเคราะห์ บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย) คาดการณ์หุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ว่า
มูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ในช่วงไตรมาส 3 (1 ก.ค. - 24 ก.ย.) เพิ่มขึ้นอย่างก้าว
กระโดดต่อเนื่องจากไตรมาส 2 โดยมีมูลค่าการซื้อขาย 4.15 ล้านล้านบาท โต
61.2% qoq หรือเฉลี่ยต่อวันประมาณ 35,833 ล้านบาท จาก 23,498 ล้านบาทใน
Q2/53 จึงทำให้มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในปี 53 เพิ่มขึ้นเป็น 26,183 ล้านบาท เพิ่ม
ขึ้นจากปี 52 ที่ 17,853 ล้านบาท/วัน
สัดส่วนของนักลงทุนรายย่อยเพิ่มขึ้นเป็น 65% จาก 58% ในไตรมาส 2
ขณะที่สัดส่วนของนักลงทุนต่างชาติลดลงเป็น 15.7% จากไตรมาส 2 ที่ 21.8% กอง
ทุนในประเทศและพอร์ตโบรกเกอร์สัดส่วนทรงตัวจากไตรมาสก่อนที่ 7.6% และ
11.1% ตามลำดับ หากไม่รวมมูลค่าการซื้อขายของพอร์ตโบรกเกอร์มูลค่าการซื้อขาย
เฉลี่ยต่อวันนับจากต้นปีเท่ากับ 22,900 ล้านบาท ขณะที่ราคาหุ้นที่ทำการวิเคราะห์
ASP มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงที่สุด 35% mom ตามด้วย PHATRA และ BLS เพิ่มขึ้น
25% และ 20% ตามลำดับ
ทั้งนี้ กิมเอ็งมีมุมมองเป็นกลางสำหรับกลุ่มหลักทรัพย์ ระยะสั้นมุมมองยังสด
ใส โดยคาดว่าในเดือน ต.ค. 53 ปริมาณการซื้อขายจะยังคงคึกคักจากเงินทุนไหลเข้า
และการเริ่มเข้ามาเก็งกำไรผลประกอบการงวดไตรมาส 3 และเชื่อว่ามูลค่าการซื้อ
ขายไม่รวมพอร์ตโบรกเกอร์ในงวดไตรมาส 4 เฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 32,000 ล้าน
บาท/วัน
ขณะที่แนวโน้มผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3/53 กำไรจะเติบโตทั้ง 3
บริษัทที่ทำการวิเคราะห์ ถึงแม้ว่า PHATRA และ BLS จะมีส่วนแบ่งการตลาดลดลง
จากไตรมาส 2/53 แต่มีรายได้จากงานวาณิชธนกิจเข้ามาชดเชย โดย PHATRA จบดี
ลหุ้นเพิ่มทุนของ THAI ได้ในเดือน ก.ย. และ BLS จบงานการซื้อกิจการของ TUF
ส่วนมุมมองระยะยาวยังเป็นลบต่ออุตสาหกรรม เนื่องจากการแข่งขันในอุตสาหกรรม
ยังคงมีอยู่โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่มีการซื้อขายต่อวันสูงกว่า 20 ล้านบาท และจะยิ่ง
ทวีความรุนแรงมากขึ้นเมื่อใกล้เปิดเสรีเต็มรูปแบบในปี 55
อย่างไรก็ตาม จากปริมาณการซื้อขายที่พลิกฟื้นอย่างแข็งแกร่งในงวดไตร
มาส 3/53 ทำให้ต้องปรับสมมติฐานมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันไม่รวมพอร์ตโบรกเกอร์
ของปี 53 และปี 54 ขึ้นเป็น 25,000 ล้านบาท จากเดิม 19,000 ล้านบาท ซึ่งหากอ้าง
อิงส่วนแบ่งการตลาดของ ASP, BLS และ PHATRA ที่ 5.2%, 4.5% และ 4% ตาม
ลำดับ จะได้ประมาณการกำไรสุทธิปี 53 และปี 54 ของ ASP ที่ 465 ล้านบาท และ
470 ล้านบาท ตามลำดับ
นอกจากนี้ปรับกำไรสุทธิปี 53 และปี 54 ของ BLS ขึ้นเป็น 284 ล้านบาท
และ 278 ล้านบาท ตามลำดับ และปรับกำไรสุทธิปี 53 และปี 54 ของ PHATRA
เป็น 479 ล้านบาท และ 481 ล้านบาท ตามลำดับ และหากประเมินมูลค่าหุ้นกลุ่มหลัก
ทรัพย์โดยอิง PER ปี 54 ที่ 12 เท่า ทำให้ราคาเหมาะสมของหุ้น ASP ปรับขึ้นเป็น
2.68 บาท BLS ปรับขึ้นเป็น 18.20 บาท และ PHATRA ขึ้นเป็น 27 บาท
สำหรับหุ้นเด่นในกลุ่มแนะนำ ซื้อเมื่ออ่อนตัว BLS เพราะราคาหุ้นยังมี
upside บริษัทได้เปรียบจากการมีบริษัทแม่เป็นธนาคารกรุงเทพทำให้มีงานวาณิช
ธนกิจเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ส่วน ASP และ PHATRA ราคาหุ้นปรับตัวสะท้อนปัจจัย
บวกไประดับนึงแล้วจนทำให้ไม่มีส่วนต่างจากราคาเหมาะสมของเราจึงแนะนำ ขาย
ทั้งนี้ หากพิจารณามูลค่าการซื้อขายในไตรมาส 3/53 (ถึงวันที่ 24 ก.ย.)
เทียบกับไตรมาส 2/53 จะเห็นว่าทั้ง 3 บริษัทฯ มีมูลค่าซื้อขายเพิ่มขึ้นโดย ASP โต
61.36%, BLS โต 39.89% และ PHATRA โต 45.2% ASP ยังสามารถครองส่วนแบ่ง
การตลาดอยู่ในอันดับ 3 ได้ตลอดทั้งปี ขณะที่ BLS เคยรักษาส่วนแบ่งการตลาดไว้
ได้ที่ประมาณ 4.7%-4.8% รั้งอันดับ 4 – 5 ในช่วงครึ่งปีแรก แต่กลับร่วงลงมาอยู่ที่
อันดับ 9 โดยมีส่วนแบ่งการตลาดของงวดไตรมาส 3 ที่ 4.14% ที่น่ากังวลคือ
PHATRA มีส่วนแบ่งการตลาดลดลงอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว จากเคยรั้งอันดับ 6 ใน
ไตรมาส 1/53 ที่ส่วนแบ่งการตลาด 4.62% มาเป็นอันดับที่ 11 ในไตรมาส 3/53 และมี
ส่วนแบ่งการตลาดลดลงเหลือ 3.61%

เอเซีย พลัส มอง KGI-BLS แจ่มสุดเหลืออัพไซด์มาก

นักวิเคราะห์ บล.เอเซียพลัส กล่าวว่า หุ้นกลุ่มหลักทรัพย์จะตอบรับปัจจัย
บวกจากวอลุ่มซื้อขายในตลาดช่วงไตรมาส 3/53 ที่ปรับตัวสูงขึ้นจากไตรมาสก่อน
หน้า โดยประเมินว่ากำไรโดยรวมของกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ในไตรมาสนี้มีโอกาสออก
มาสูงกว่าไตรมาส 2/53 ซึ่งมาจากปัจจัยบวก 2 ประเด็น คือ รายได้ค่าธรรมเนียมนาย
หน้าซื้อขายหลักทรัพย์ที่ปรับตัวสูงขึ้น เป็นไปในทิศทางเดียวกับวอลุ่มซื้อขายเฉลี่ย
ต่อวันในไตรมาส 3/53 ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 3 หมื่นล้านบาทต่อวัน แต่หากรวมวอลุ่มซื้อ
ขายเฉลี่ยของพอร์ตลงทุนด้วย มูลค่าเฉลี่ยของวอลุ่มนับจากต้นเดือน ก.ค.-7 ก.ย. 53
พบว่าอยู่ที่ประมาณ 2.4 หมื่นล้านบาทต่อวัน
นอกจากนี้ กำไรจากพอร์ตลงทุนของโบรกเกอร์ในไตรมาส 3/53 ยังปรับตัว
สูงขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า ตามแนวโน้มของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ปรับตัวดีขึ้น และ
คาดว่า ณ สิ้นไตรมาส 3/53 ดัชนีฯมีโอกาสปิดเกินที่ระดับ 900 จุดสูงกว่าไตรมาส
2/53 ที่ดัชนีฯปิดในระดับ 797 จุด
สำหรับหุ้นหลักทรัพย์ที่โดดเด่นและมีความน่าสนใจลงทุน ได้แก่ KGI และ
BLS ประเมินว่าราคายังมี Upside จากปัจจุบันที่ประมาณ 25% และมีนโยบายจ่ายเงิน
ปัน 1 ครั้งต่อปี โดยคาดว่าหุ้นทั้งสองตัวจะจ่าย Dividend yield ในอัตรากว่า 8% เทียบ
กับ KEST และ PHATRA ที่สามารถจ่ายเงินปันผลในอัตราใกล้เคียงกัน แต่ได้มีการ
ประกาศจ่ายเงินปันระหว่าง15:08 29/09/10กาลไปแล้วจึงมีความน่าสนใจลงทุนน้อย
กว่า

นักวิเคราะห์เชื่อกำไรโตยัน Q4/53

นายชัยยศ จวางกูร ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.คันทรี่กรุ๊ป กล่าว
ว่า แนวโน้มผลประกอบการของบริษัทกลุ่มหลักทรัพย์โดยรวมในไตรมาส3/53จะเติบ
โตมากกว่าไตรมาสก่อนหน้านี้อย่างมาก สะท้อนได้จากปริมาณการซื้อขายที่ปรับตัว
เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่เฉลี่ย 3.56 หมื่นล้านบาทต่อวัน โดยเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนเฉลี่ย
เพียง 2.3 หมื่นล้านบาทต่อวันเท่านั้น หลังจากที่ภาวะตลาดฯได้รับอานิสงส์จากเม็ด
เงินลงทุนต่างชาติ และคาดว่าผลการดำเนินงานจะขยายตัวดีอย่างต่อเนื่องจนถึงไตร
มาส4/53
นอกจากนี้ จากกรณีที่ราคาหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ปรับตัวเพิ่มขึ้นโดยมีเพียงหุ้น
2 ตัวที่ราคาเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น ได้แก่ KGI และ ASP เพราะมีรายได้พิเศษจากการ
ออกหุ้นเดริเวทีฟวอร์แรนต์ ซึ่งที่ผ่านมาได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นจำนวน
มาก
นายวีระชัย ครองสามสี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า หุ้นที่
มีความโดดเด่นที่สุดในกลุ่มหลักทรัพย์ ได้แก่ PHATRA เนื่องจากในปีนี้บริษัทฯมีงาน
วาณิชธนกิจจำนวนมาก ขณะเดียวกันยังมีผลกำไรจากพอร์ตลงทุนของบริษัทฯอีก
ด้วย โดยประเมินกำไรทั้งปีอยู่ที่ 575 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีก่อน 35% ขณะที่
มูลค่าพื้นฐานอยู่ที่ 29.50 บาท จึงแนะนำให้เก็งกำไร ตามวอลุ่มตลาดฯ

'มนตรี'ยอมรับกำไร Q3 พุ่ง

นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์กิมเอ็ง
(ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEST เปิดเผยกับ eFinancethai.com ว่า แนว
โน้มผลกำไรของ
บริษัทฯในช่วงไตรมาส3/53 จะเติบโตมากกว่าไตรมาส2/53 ที่มีกำไรอยู่ที่
138.06 ล้านบาท แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ว่ากำไรจะโตเป็นเท่าตัวหรือไม่ โดยกำไร
ที่เพิ่มขึ้นมาจากปริมาณการซื้อขายที่หนาแน่นต่อเนื่อง เฉลี่ยต่อวันอยูที่ประมาณ 3-
4 หมื่นล้านบาท ส่วนรายได้-กำไรในปี 53 จะใกล้เคียงหรือเติบโตมากกว่าปีก่อนเล็ก
น้อย เพราะแม้ว่ามูลค่าการซื้อขายในปัจจุบันมีทิศทางที่ดีขึ้น แต่รายได้ค่าคอมมิสชั่น
โดยเฉลี่ยลดลงจากการใช้คอมมิสชั่นแบบขั้นบันได




เรียบเรียง โดย กานต์ธิดา หวานฉ่ำ
อีเมล์แสดงความคิดเห็น commentnews@efinancethai.com




ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย วันที่ 30/09/10 เวลา 8:44:35

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น