วันเสาร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เป้าหมายมีไว้พุ่งชน

เรื่องเมาส์มาแรง โดย ยูมิจัง





*****สวัสดีวันศุกร์คร้า....ต้อนรับคุณๆ ทุกท่านเข้าสู่เดือนตุลาคม วันนี้วันที่ 1 เดือน 10 ปี 2010 ค่ะ.. เวลาช่างเดินเร็วจริงๆ ว่าไหม?? เผลอแป๊บเดียวปฏิทินเปิดมาจะสุดแผ่นแล้ว.. คงไม่ต่างอะไรกับ SET Index ที่ใครจะรู้ว่าดัชนีฯ จะทะยานบวกมาได้ไกลถึงเพียงนี้ ตอนที่ตุ้มๆ ต่อมๆ แถว 700 จุด หลายเสียงก็ยัง! ลังเลว่าไปต่อไหม เอาไปเอามา กระเด้งเหนือ 900 จุดแบบรวดเร็ว ท่ามกลางความวิตกว่าไม่น่าไกลกว่านี้ แต่ อ๊ะ อ๊ะ!! ปิดการซื้อขายวานนี้ ดัชนีฯ บวกมาเกือบ 6% ปิดที่ 975.30 จุด วอลุ่มประมาณ 3.6 หมื่นล้านบาท..เป้าหมายมีไว้พุ่งชน 1,000 จุดคงไม่ไกลเกินเอื้อมชิมิ??****
****กระแส FA ไม่ใช่ที่ปรึกษาทางการเงินนะจ๊ะ แต่เป็นกระแส F (ฟิล์ม) กับ A (แอนนี่) ทำให้เรตติ้งทีวีกระฉูด โดยเฉพาะ BEC หรือช่อง 3 ที่มีเอี่ยวเต็มๆ .. ล่าสุด ผู้บริหาร BEC ออกมายอมรับแล้วว่าเรตติ้ง BEC พุ่งแบบสุดๆ ไปเลยจากประเด็นข่าว Talk of The Town.. โปรดทราบนะจ๊ะ ตุลาคมนี้แหละ เตรียมขึ้นค่าโฆษณาละครหลังข่าวอีก 7% จากตอนนี้ที่ประมาณ 4.2 แสนบาท/นาที แหม๋!! อย่างนี้เค้าเรียกฝีมือ หรือว่าส้มหล่น เพราะนอกจากกระแส FA ที่ว่าแล้วเนี่ย สาวๆ หลายคนก็อยากจะแปลงร่างเป็น "วนิดา" ของพันตรีประจักษ์กันเป็นแถว.. แถมลีลาสะดีดสะดิ้งของน้อง "หวา! นหวาน" ก็ยังแรงได้อีก!!****
****ว๊าววววววววว . . . ITD สุดบรรเจิดลึกล้ำอะไรเช่นนี้ค๊าาาาาาาาา . . . ข่าวดีท่วมท้นเหลือเกิ๊น ไม่แปลกใจเลยวานนี้ราคาหุ้นพุ่งปรู๊ดดดดดปร๊าดดดดดไม่สนใครเอาเสียเลย แหมก็สตอรี่ใหม่น่าสนออก ... หรือใครจะเถียง หลังจากขายหุ้นน้ำเทิน 2 ให้ EGCO ได้เงินเข้ากระเป๋า 110 ล้านเหรียญฯ แถมแผนรีไฟแนนซ์หุ้นกู้สำเร็จ ดีต่อสภาพคล่องอีก . . .ยังหากคิดว่าข่าวดีจะหมดเพียงแค่นี้ ไตรมาสสุดท้ายรอลุ้นขายหุ้น TTCL แถมเตรียมลงนามพัฒนาอ่าวทวาย ประเทศพม่าในไม่ช้านี้ . . ..ส่วนต้นเดือนนี้มีอีกสตอรี่ให้ติดตาม รฟม.ลงนามรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน 5 สัญญา . . .โอ๊วววววววววว เจอข่าวดีเยอะแบบนี้ทำเอายูมิจังหน้ามืดไปเลยค่ะ . .. *****
****แรงจนเริ่มน่ากลัวเข้าทู้กกกกกก! กกกกกที . . .KGI ไม่รู้เมื่อไหร่จะติดเบรกนะเนี่ย . . .ทำเอาหลายคนบ่นไม่กล้ากระโจนเข้าไปร่วมวง . . .เกิดบรรดาขาๆ .. . ทั้งหลายหมดอารมณ์มันส์ไม่รู้อาการหุ้น KGI จะออกมาเป็นแบบไหน . . .แต่ก็ว่าไม่ได้นะ แหม หุ้นเค้าไม่สตอรี่ซะขนาดนั้น ล่าสุด มาร์เก็ตแชร์ขยับขึ้นมาเฉียด 6% . . แถมผลการดำเนินงานไตรมาส 3/53 ยังส่อแววสุดหรู หลังวอลุ่มทะลักดันรายได้พุ่ง โชคชั้นสอง DW ที่ออกโดย KGI ก็สุดแสนจะยอดนิยม แบบเนี่ย เค้าเรียกมีสตอรี่รองรับราคาหุ้นนะจ๊ะ****
****ก่อนจากกันวันนี้ มาเช็คดวงความรักกันหน่อย.. ยูมิจังหยิบมาฝากเป็นดวงความรัก เช็คความเจ้าชู้ ตามวันเกิด..แม่นหรือไม่แม่น กระซิบมาบอกได้ที่ umi@efinancethai.com นะคะ.. แต่สำหรับยูมิเช็คเรียบร้อยแล้วล่ะ ถึงขั้นเทพ (ธิดา) เลย.. คริ คริ****

วันอาทิตย์
คนเกิดวันนี้ มีหัวใจกล้าได้กล้าเสียในเรื่องความรักนั้น ถือคติว่าเสี่ยงเป็นเสี่ยงกันตามประสาคนชอบสนุก เจ้าสำราญพอสมควร คนวันอาทิตย์เจ้าชู้ จึงมีดวงในเรื่องความรักที่โดดเด่น คือได้พบรักเสมอๆ กับคนเด่น ๆ ที่ดูดีกว่าใครในกลุ่มคนที่มีท่าเรียบง่ายจนเกินไป ค่อนข้างเชยๆ ไม่ใช่คนแบบที่คุณจะสะดุดตาสะดุดใจแน่นอน ใครก็ตามที่ห้าวเกินเหตุ คนวันอาทิตย์ก็ยากจะตัดใจ คิดชอบพอความสดใส มั่นใจในตัวเอง คือเสน่ห์ที่ทำให้ใครๆ หลงรักคนเกิดวันอาทิตย์ และนิสัยที่แข็งเกินไปของคุณก็คือตัวการสำคัญที่จะทำลายความรักให้พังทลายไปอย่างน่าเสียดายยามหลงรักใคร คุณจะตามติดหวังพิชิตให้ได้ เมื่อสมใจแล้ว คุณกลับไม่ยอมให้คู่รักมาเปลี่ยนแปลงความเป็นตัวตนที่แท้ของคุณ ถ้าใครยอมคุณได้ก็รักกันได้นานแน่นอน โดยทั่วไป ดวงในเรื่องความรักของคนวันอาทิตย์ ไม่ค่อยมีอุปสรรคอะไรนัก จีบใครหรือทอดสะพานให้ใครก็มักสำเร็จเสมอ อยู่ที่ว่าตัวคุณเองนั่นแหละ จะเป็นฝ่ายจืดจางห่างเหินอีกฝ่ายเสียก่อน ตามประสาคนเจ้าชู้ที่หัวใจอ่อนไหว และอยากคบคนใหม่ๆ เพราะรู้สึกว่าเป็นเรื่องท้าทายดีชอบหาความมั่นใจให้ตัวเองด้! วยเรื่องรักๆ ใคร่ๆ บางครั้งทั้ง 4 ห้องหัวใจเต็มหมด ห้องไหนทนไม่ไหวโบกมือลาไปคุณก็ไม่เสียใจ มีใครคนใหม่มาแทนได้เร็วเสมอ
ดวงความรักค่อนข้างดี ตัวเองไม่มีปัญหา แม้จะชอบตามใจตัวเอง แต่ก็ไม่ค่อยเอะอะเอาเรื่องกับความรักจริงจังนัก ปัญหามักเกิดขึ้นเพราะคนรักของคุณ ซึ่งคิดจะเอาเรื่องกับคุณให้ได้ หรืออาจเป็นเพราะความใจร้อนของคุณบ้าง โดยที่คุณไม่ได้ตั้งใจจะให้เกิดการแตกหักหรอก ดังนั้นถ้าใครเข้าใจคุณก็สามารถควงกับคุณได้นานเป็นพิเศษ

วันจันทร์
คนวันจันทร์ไม่แสดงออกถึงความเจ้าชู้เด่นชัดอย่างคนวัน อาทิตย์ แต่จริง ๆ แล้วเป็นคนเจ้าชู้เงียบ แอบโปรยเสน่ห์อยู่บ่อย ๆ เหมือนกัน ซึ่งก็มีคนหลงปลื้มอยู่เสมอไป ด้วยความที่เป็นคนอ่อนโยน ฉลาด รอบรู้ มีมนุษยสัมพันธ์ดีพอควรคนวันจันทร์ชอบทำตัวน่ารัก แต่ถ้าเริ่มคบหาจริงจังกับหวานใจแล้ว จะแสดงความดื้อดึงออกมาทันที เพราะเป็นคนเอาแต่! ใจตัวเองไม่น้อย ดวงความรักของคุณจึงแสนซึ้งในช่วงต้น ๆ เพราะพื้นดวงเป็น คนสุภาพ น้อยคนนักที่จะห้าวมากๆ นอกจากเกิดในวันจันทร์ และถ้าความรักจะมีปัญหาก็มักเป็นเพราะตัวคุณเอง เนื่องจากเป็นคนช่างคิดอยู่แล้ว จึงคิดมากคิดไกลเกินไปเสมอและเป็นเหตุร้าวฉานในความสัมพันธ์ได้ไม่ยาก
ดวงความรักของคุณค่อนข้างไม่ธรรมดา ความรักแท้มักเกิดขึ้นกับคนที่รอบข้างแอบส่ายหน้า ว่าไม่เหมาะสมกัน ถ้าไม่แก่หรืออ่อนวัยกว่ามากๆ ก็อาจแตกต่างกันที่ฐานะ หรือการศึกษา ด้อยกว่าในเรื่องใดเรื่องหนี่งแน่นอนและมักจะได้แสดงถึงความรักแท้เหมือนในหนัง คือการฝ่าฟันกับกระแสการกีดกันของครอบครัว เปอร์เซ็นต์ส่วนใหญ่จะเป็นในรูปนี้ ถ้าใครได้คู่ที่สมกันดีไม่มีใครห้ามปรามก็ต้องนับว่าโชคดี คงมีดวงในราศีเกิดหรืออิทธิพลอื่นๆ ที่เสริมให้ดวงความรักไปได้ดีกว่าพื้นดวงที่น่าจะเป็นเช่นนั้น
แต่สุดท้ายแล้ว คนวันจันทร์จะแฮปสมหวังเสมอ ไม่ค่อยผิดหวังในเรื่องรัก นอกจากจะมีทุกข์ในหัวใจที่ตัวเองคิดเองรู้สึกเองไม่ใช่คนที่คุณรักก่อขึ้นหรอก หรือบางกรณีก็เป็นเพราะคุณแอบหวั่นไหวไปปลื้มคนอื่นแล้วผิดหวัง ถ้าดูแลหัวใจตัวเองให้ดี ๆ ไม่วอกแวกไปไหนคุณก็มักมีคู่รักที่คบกันเนิ่นนานจนเพื่อนๆ อิจฉาเสมอแน่นอน

วันอังคาร
ถ้าคุณเกิดวันอังคาร คุณก็ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องความรักของคุณหรอก เพราะดวงในเรื่องความรักค่อนข้างดี หมายถึงดวงคู่แท้ ๆ ที่เป็นความรักแท้ๆในชีวิตด้วยเช่นกัน พื้นฐานนิสัยของคุณแม้จะห้าวหาญวู่วาม และตรงไปตรงมาจนน่าถอยห่าง แต่เสน่ห์ของคุณมีเสมอกับเพศตรงข้าม ทำให้ไม่มีช่วงใดที่ไร้คู่นานวันนัก นอกจากบางช่วงคุณจะยังไม่คิดในเรื่องนี้จริงจังเท่านั้น คนวันอังคารเจ้าชู้แค่อารมณ์เท่านั้น ไม่ได้เจ้าชู้เป็นนิสัยถ้าเจอะเจอคนหล่อหรือคนสวยในแบบที่พึงพอใจ ก็จะส่งสายตาไปก่อนอื่น แต่ไม่ใช่คนที่จะต้องปราดเข้าไปขอทำความรู้จักทันใด แม้จะเป็นคนกล้าแกร่งปานใดก็เถอะ เว้นแต่ว่าถ้าได้รู้จักกันแล้วและหลงรักเข้าแล้วเท่านั้นที่คนวันอังคารจะติดตามผลงานอย่างตั้งใจ จนกว่าจะได้ใจของใครคนนั้นไม่มีวันที่คุณจะจีบเล่นๆ แบบนินจาเดี๋ยวมาเดี๋ยวหายแน่นอน คนวันอังคารเป็นคนแข็งนอกอ่อน! ใน และมีดวงแบบตกหลุมรัก เมื่อแรกสบตาได้มากกว่าคนเกิดวันใด น้อยเหลือเกิ นที่จะเห็นคนวันอังคารมีความรักกับเพื่อนที่คบกันนานปีแล้วค่อยๆ พัฒนาเป็นความรักและในกรณีที่เป็นคู่รักกันแล้วหากมีเรื่องปะทะอารมณ์ใส่กัน คุณก็จะปิดปากเงียบไม่ยอมขอโทษว่าตนผิดเอง ทั้งๆ ที่ในใจคุณอยากง้อใจจะขาด นอกจากว่าทะเลาะกับคู่รักบ่อยๆ ครั้งจนรู้สึกชินแล้วนั่นแหละคุณถึงจะง้อเป็น กล้าที่จะเอ่ยคำว่าเสียใจออกไปได้ ในท่วงท่าที่ดูเป็นคนมุทะลุวู่วามไม่จริงใจกับใครแท้จริงแล้ว คนวันอังคารเป็นคนรักที่คงมั่นมาก ตามดวงชะตาบ่งบอกว่าเป็นคนรักจริงหวังแต่ง มักได้คู่ดี เว้นแต่บางช่วงจะไปรักคนผิดจนเดือดร้อนไม่น้อย ดวงความรักของคุณหากจะมีปัญหา ก็อยู่ที่อารมณ์เท่านั้น ถ้าร้อนเจอร้อนก็จบเร็วแน่ ถ้าคุณลดไฟในอารมณ์ตัวเองได้หรือเลือกคนใจเย็นเป็นน้ำ ก็รักกันยั่งยืนยากจะแตกร้าวได้

วันพุธ
คนเกิดวันพุธมักมีดวงเกี่ยวกับความรักในแบบที่ลึกซึ้ง ไม่รักเพียงหวือหวาให้ตื่นเต้นเร้าใจเท่านั้น ด้วยธรรมชาติและพื้นดวงที่เป็นคนช่างคิดช่างตรองรอบคอบกับทุกเรื่องราวเสมอ ดังนั้นก! ับในเรื่องรัก คุณจึงต้องมั่นใจก่อนที่จะเอื้อมมือไปคว้ามาแนบใจ เสน่ห์ที่โดดเด่นของคนวันพุธอยู่ที่ศิลปะในการ
พูดจาทำให้ใครๆ หลงเคลิ้มได้เสมอ และยังเป็นคนฉลาดมีไหวพริบดีอีกด้วย นั่นเป็นจุดเด่นที่ทำให้คนรอบข้างชื่นชมเป็นพิเศษ แต่แม้ว่าจะมีใจชอบใครคนวันพุธ จะไม่เปิดเผยทุกอย่างแก่คนรักเนื่องจากเป็นคนมีโลกส่วนตัว ชอบเก็บบางเรื่องราวไว้กับตัวเองเหมือนกับที่เป็นคนชอบอิสระ และรักสนุกไม่น้อยเลยทีเดียว
คนเกิดวันพุธจริงๆ แล้วมี 2 แบบคือแบบ ที่ควักเงินทุ่มให้คนรักแบบสุดๆ กับอีกประเภทคือ เหนียวสุด ๆ กับคนรัก คุณเป็นแบบไหนก็คงต้องตรวจสอบดูตัวเอง แต่ที่มีอยู่ในตัวคนวันพุธทั้ง 2 แบบ ก็คือมักจะงคนที่อ่อนวัยกว่าเพราะอยากที่จะดูแลคนรักของตน แบบแสนห่วงหวง และคุณก็มักชอบมีรักแบบที่ค่อยๆ ใกล้ชิดติดใจกันไปทีละนิด คุณแพ้คนที่เข้าใจคุณถ่องแท้ ดวงของคุณจึงมีแนวโน้มที่จะพบรักที่ซาบซึ้งตรึงใจและมีความผูกพันกันมาก เพราะเป็นความรักที่มีพัฒนาการเต็มไปด้วยความเข้าใจในกันและกัน พยายามที่จะรู้จักตัวตนแท้ ๆ ของกันและกันนั่นเอง
คนวันพุธโชคดีที่ได้งกับคนคล้ายๆ กัน รสนิยมไม่ต่างกันราวฟ้ากับดินนัก คุยกันร! ู้เรื่อง ถ้าใครที่ดูดีอย่างเดียว แต่คุยกันไม่รู้เรื่อง ทัศนคติต่างกัน< BR>มาก ๆ คนวันพุธจะละความสนใจทันที หากเมื่อใดที่อกหัก คนวันพุธก็จะไม่ฟูมฟายมากนักแม้จะปวดใจเพียงใด คนที่เป็นคู่รักของคนวันพุธได้ดีต้องมีลักษณะของความเป็นเพื่อน เฮไปไหน ๆ ด้วยกันได้ ถ้าทำสวีตเป็นเจ้าของเกินไป มักอยู่กับคนวันพุธได้สั้นกว่าที่หวัง

วันพฤหัส
ถ้าคุณเกิดวันพฤหัสบดี มั่นใจได้เลยว่าคุณจะเป็นคนรักที่ดีให้ใครคนนั้นได้ภาคภูมิใจแน่ เพราะคุณมีทั้งความเอื้ออารี มีน้ำใจ เป็นคนสติปัญญาดี มีความยุติธรรมเป็นคนที่ใครก็ยอมรับและชื่นชมคุณเป็นคนรักจริง เกลียดจริง ถ้าเกลียดใครก็ไม่เสแสร้งคบหาต่อไปให้ต้องฝืนตามวิสัยของคุณวันพฤหัสบดี ที่ตรงพอสมควรดวงในเรื่องความรักของคนวันพฤหัสบดี ไม่ค่อยโลดโผนพิสดารมากนัก ความรักค่อยเป็นค่อยไปอย่างเรียบง่าย หากจะมีเรื่องปวดหัวใจบ้างก็เป็นเพราะความมองโลกในแง่ดีเกินไป บางครั้งจึงหลงคารมคนไม่จริงใจหรือบางครั้งก็คิดไปเองว่าใครคนนั้นมีใจด้วย ทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นดั่งที่แอบคิดแอบหวั่นไหว
คนเกิดวันพฤหัสบดีเป็นคนใฝ่รู้ ถ้าช่วงใดเจ็บหัวใจ ก! ็จะทำใจด้วยการทุ่มเทในเรื่องที่มีสาระ มีประโยชน์กับชีวิต ความน่ารักของคนอยู่ที่ความสดใส เปิดเผย มีความมุ่งมั่นเสมอ ไม่ใช่คนที่เลื่อนลอยไร้สาระ ไม่บ่อยนักที่จะเห็นคนวันพฤหัสบดีอีกลักษณะหนึ่งคือไม่ค่อยเรียบร้อยและขาดความสุขุมรอบคอบ คนวันพฤหัสบดีไม่ค่อยเจ้าชู้ แม้จะดูมีท่าทีเข้ากับคนง่ายสดใสเป็นกันเองแต่ไม่ได้ชอบใครง่าย ๆ เสมอไป ถ้ารักใครก็จะรักอย่างซื่อสัตย์ หากจะผิดหวังก็ดังที่กล่าวมาแล้ว คือการไปรักคนผิด คิดว่าดีที่แท้ไม่ใช่
ดวงความรักของคนวันพฤหัสบดีนั้นจะมีรักจริงจังก็ต่อเมื่อพบเจอคนที่เรียบง่ายคล้ายๆ กัน ไม่ใช่ฟู่ฟ่าหรูหราเกินไปนัก คิดแต่เรื่องสร้างสรรค์มากกว่าเรื่องเฮฮาปาร์ตี้ ปัญหาในรักมักใม่ใช่อยู่ที่ตัวคุณเอง เพราะคุณอดทนได้เสมอ แต่คนที่คุณรักต่างหากที่จะนำเรื่องปวดหัวมาให้

วันศุกร์
คนที่เกิดวันศุกร์ เป็นคนที่ต้องพัวพันกับเรื่องรักๆใคร่ๆเสมอ เพราะดาวศุกร์ เป็นสัญลักษณ์ของดวงดาวประจำเทพีแห่งความรัก คุณผู้หญิงวันศุกร์จึงเป็นคนรักสวยรักงามเป็นพิเศษ ค! ุณผู้ชายก็สำอางไม่เบา ถ้าผู้ชายคนใดที่บำรุงผิวหน้าด้วยโลชั่นหรือพรมน้ำ หอมเสมอก่อนออกจากบ้าน จนใครๆ เกือบจะคิดว่าเป็นเกย์ละก็ที่แท้เขาคนนั้นเป็นคนวันศุกร์นั่นเอง เมื่อรักใครชอบใครคนวันศุกร์จะเทคแคร์เอาใจได้ละเมียดละไมที่สุดยิ่งกว่าคน เกิดวันอื่นๆ แต่ด้วยความที่รักตัวเองมาก หลงตัวเองพอสมควร ดังนั้นคุณจึงต้องการให้คนพิเศษของคุณ ทุ่มเทรักให้คุณสุดหัวใจ ถ้ารู้สึกว่ายังได้ความรักจากเขาหรือเธอไม่มากพอ คุณจะร้ายใส่ทันที แม้เสน่ห์ของคนวันศุกร์จะอยู่ที่ความอ่อนหวานก็เถอะ ยามหึงหวงหรือโกรธเคืองแล้วจะปากร้ายมาก แต่ในจิตใจไม่พิษร้ายใดๆ เป็นคนใจกว้างและเป็นคนซื่อตรงซื่อสัตย์มากด้วยซ้ำ เพียงแต่คิดมากขี้ระแวงเท่านั้นเอง
ดวงความรักของวันศุกร์ค่อนข้างอาภัพ ทั้งๆ ที่มีคนมารักจริงแบบหวังแต่ง แต่ก็มักจบลงเพราะความไม่มีเหตุผลอย่างสุดๆ ของคุณเอง เรื่องที่จะผิดหวังเพราะไปรักเขาข้างเดียวนั้นก็มีบ้าง แต่เกิดขึ้นไม่บ่อยนักหรอก ถ้าจะผิดหวังจนเสียหน้า ก็เป็นเพราะไปหลงเชื่อคนที่มาหวังผลประโยชน์จากคุณโดยไม่ได้รักคุณจริง เนื่องจากคนวันศุกร์ฉลาดในเรื่องอื่น แต่ไม่ทันคนนักหรอก
ที่ว่าดวงความรักของคนวันศุกร์อาภัพก็เพราะว่า แม้บางจังหวะชีวิตจะมีรักแสนซึ้งเพียงใดก็กลับต้องเล! ิกร้างกันทั้งๆ ที่ยังรักบางคนก็อาภัพแบบมีแต่รักเทียมๆ สั้นๆ ไม่ดื้อไม่ดื่มด่ำลึกซึ้งนานวันให้อิ่มใจนักคนเกิดวันศุกร์บางคนก็มีความสัมพันธ์รักที่ยั่งยืนอบอุ่น แต่มักไม่ใช่เป็นคนที่คุณหลงรัก อย่างปักจิตปักใจมาก่อน นับเป็นดวงแห่งความรักที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว

วันเสาร์
คนเกิดวันเสาร์ มีดวงชะตาในเรื่องรักที่ค่อนข้างดีพอสมควร ไม่ค่อยจะมีปัญหาปวดหัวปวดใจ จนเดือดร้อนเพราะเรื่องความรักอย่างคนเกิดวันอื่นๆ เนื่องจากพื้นฐานนิสัยที่เป็นคนเด็ดเดี่ยว หนักแน่น คุณจึงคบใครก็คบอยู่คนเดียว พอเลิกกันเมื่อใดจึงค่อยมีรักใหม่ แต่คนวันเสาร์จะไม่ออกไปวิ่งไขว่คว้าหารักมาใส่ตัวหรอก นอกจากรอให้กามเทพแผลงสอนเองตามธรรมชาติดีกว่า แม้จะดูสุขุม มีระบบระเบียบ เป็นคนตรง หัวแข็งไม่เบา แต่ในใจคนวันเสาร์ก็อ่อนไหวไม่อยากกับเรื่องรัก เห็นใครถูกใจก็ชอบแต่ก็รู้จักยับยั้งใจ ไม่วิ่งเข้าประกบทันทีเด็ดขาด ถ้าจะมีความเจ้าชู้ ก็เจ้าชู้เงียบ แต่ไม่ใช่เงียบแบบแอบเอาจริงอย่างคนวันจันทร์ เพราะคนวันเสาร์จะแค่มอ! ง รู้สึกชอบ ส่งยิ้มไปบ้าง แต่ก็ไม่คิดอะไรมากกว่านั้น
ดวงความรักของค ุณ เป็นลักษณะที่มีความสัมพันธ์มีความผูกพัน เต็มไปด้วยความลึกซึ้งไม่ใช่รักแบบตื่นเต้นเร้าใจสั้นๆ แล้วจบลงเหมือนเพียงจุดพลุดอกไม้ไฟ คนวันเสาร์ทำให้คนอื่นประทับใจได้เสมอ กับความสุขุมทระนงอดทนมุ่งมั่นใส่ใจคนรักอย่างเสมอต้นเสมอปลาย แต่ถ้าใครคนนั้นฟู่ฟ่าหรูหราใช้เงินกระหน่ำเกินไปคุณก็ไม่ชอบใจเหมือนกัน
ความที่เป็นคนช่างเลือกคนวันเสาร์ จึงไม่ใช่คนประเภทที่มีใครๆ เคียงข้างอยู่ตลอดเวลา บางปีถ้าไม่ต้องการใครมากๆ ก็ยอมเปลี่ยวใจตลอดปีไม่ซีเรียส ถ้าคนวันเสาร์ถูกใจใคร จะใช้เวลาดูใจดูนิสัยก่อนจะดำเนินความสัมพันธ์ต่อไปให้ลึกซึ้ง ด้วยความขี้ระแวงไม่ไว้ใจใครง่ายๆ ต้องดูแล้วดูอีกกว่าจะตัดสินใจเรื่องความเหมาะสมกัน คุณก็คิดมาก กว่าคนวันเกิดใดไม่ว่าจะเป็นเรื่องอายุหรือฐานะ เช่น อีกฝ่ายรวยกว่ามากหรือจนกว่ามากๆ คุณก็จะคิดมาก แม้จะรักแล้วแต่ก็ลังเล หรือถ้าอายุน้อยกว่ามากๆ หรือแก่กว่ามากๆ ก็กลัวว่าคนอื่นจะคิดยังไงช่องว่างระหว่างวัยจะมีหรือไม่ นี่หละคือสไตล์ความคิดของคนวันเสาร์ ปัญหารักในเรื่องอื่นๆ ไม่ค่อยมีหรอก นอกจากจะสับสนกับตัวเอง

วันศุกร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2553

กูรู ประเมิน หากทีโอทีคลอด3G ได้จริง เป็นข่าวบวกกับ JTS, JAS, SAMART,SAMTEL, AIT, LOXLEY

กูรู ประเมิน หากทีโอทีคลอด3G ได้จริง เป็นข่าวบวกกับ JTS, JAS, SAMART,
SAMTEL, AIT, LOXLEY

บทวิเคราะห์หลักทรัพย์จาก บล. ฟินันเซียไซรัส ระบุว่า รมว.ไอซีทียืน
ยัน พ.ร.บ. กสทช.คลอดสิ้นเดือน พ.ย. นี้ ยังเป็นเพียงจุดเริ่มต้น แม้ พ.ร.บ. กสทช. จะ
ผ่าน ยังมีกระบวนการจัดตั้ง กสทช. (6 เดือน) จัดทำแผนแม่บทและแผนบริหารคลื่น
ความถี่ (6 - 8 เดือน) เตรียมประมูล 3G (6 เดือน) การประมูลจะเกิดขึ้นในปี 2012
เป็นอย่างเร็ว
ส่วน 3G ของทีโอที ถ้าทำได้จริง เป็นข่าวบวกกับ JTS, JAS, SAMART,
SAMTEL, AIT, LOXLEY




เรียบเรียง โดย พิมพ์รภัส ศิริไพรวัน
อนุมัติ โดย ดวงสุรีย์ วายุบุตร์
อีเมล์แสดงความคิดเห็น commentnews@efinancethai.com




ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย วันที่ 01/10/10 เวลา 9:05:10

THAI NVDR ขายหุ้น TWZ ออก 2.03% ส่งผลให้เหลือหุ้นในมือ 3.79% ขณะที่เก็บหุ้นKGIเพิ่ม

ไทยเอ็นวีดีอาร์ ขายหุ้น TWZ ออก 2.03% ส่งผลให้เหลือหุ้นในมือ 3.79% ขณะที่เก็บหุ้น
KGI เพิ่ม 0.7% ส่งผลให้มีหุ้นในมือ 10.37%

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ได้รับแบบรายงานการ
จำหน่าย หุ้นของบมจ. ทีดับบลิวแซด คอร์ปอเรชั่น(TWZ)โดย บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด
ซึ่งเป็นการจำหน่าย เมื่อวันที่ 28/09/2553จำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายคิดเป็น -2.03% ของ
สิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการจำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการจำหน่ายคิดเป็น 3.79% ของสิทธิ
ออกเสียงทั้งหมดของกิจการ
และได้รับรายงานการได้มา หุ้นของบล. เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)(KGI)
โดย บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด ซึ่งเป็นการได้มา เมื่อวันที่ 28/09/2553
จำนวนหลักทรัพย์ที่ได้มาคิดเป็น 0.7% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ
จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการได้มาคิดเป็น 10.37% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ




เรียบเรียง โดย พรทิพย์ พลสิทธิ์
อนุมัติ โดย พิมพ์รภัส ศิริไพรวัน
อีเมล์แสดงความคิดเห็น commentnews@efinancethai.com




ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย วันที่ 01/10/10 เวลา 8:41:02

ดัชนีปิดตลาด (Asia Zone) 01/10/53

ดัชนี นิกเกอิ: ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ปิดตลาดเช้าที่ระดับ 9,453.14 จุด เพิ่มขึ้น 83.79 จุด หรือ 0.89 %
ดัชนี PHCOMP: ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ ปิดตลาดที่ระดับ 4,111.99 จุด เพิ่มขึ้น 11.92 จุด หรือ 0.29 %
ดัชนี NZSE: ตลาดหุ้นนิวซีแลนด์ ปิดตลาดที่ระดับ 3,212.94 จุด เพิ่มขึ้น 34.85 จุด หรือ 1.10 %
ดัชนี เวทเต็ด: ตลาดหุ้นไต้หวัน ปิดตลาดที่ระดับ 8,244.18 จุด เพิ่มขึ้น 6.40 จุด หรือ 0.08 %
ดัชนี นิกเกอิ: ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ปิดตลาดที่ระดับ 9,404.23 จุด เพิ่มขึ้น 34.88 จุด หรือ 0.37 %
ดัชนี คอมโพสิต: ตลาดหุ้นโซล ปิดตลาดที่ระดับ 1,876.73 จุด เพิ่มขึ้น 3.92 จุด หรือ 0.21 %
ดัชนี ASX All ordinaries: ตลาดหุ้นออสเตรเลีย ปิดตลาดที่ระดับ 4,634.70 จุด ลดลง 2.20 จุด หรือ -0.05 %
ดัชนี คอมโพสิต: ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย ปิดตลาดที่ระดับ 3,547.12 จุด เพิ่มขึ้น 45.82 จุด หรือ 1.31 %
ดัชนี สเตรทไทม์: ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ปิดตลาดที่ระดับ 3,130.90 จุด เพิ่มขึ้น 33.27 จุด หรือ 1.07 %
ดัชนี BSESN: ตลาดหุ้นอินเดีย ปิดตลาดที่ระดับ 20,445.04 จุด เพิ่มขึ้น 375.92 จุด หรือ 1.87 %

ที่มา efinancethai

สภาอุตฯ เสนอ 7 มาตรการใหม่เร่งด่วนให้ภาครัฐช่วยเหลือเอกชน หลังบาทแข็งค่าไม่หยุด

สภาอุตฯ เสนอ 7 มาตรการใหม่เร่งด่วนให้ภาครัฐช่วยเหลือเอกชน หลังบาทแข็งค่าไม่
หยุด ขณะที่เงินบาทแข็งค่าตั้งแต่ต้นปีถึง 30 ก.ย.53 แข็งค่า9% โดยเฉพาะช่วงเดือนส.ค.-ก.ย.
เงินบาทแข็งค่าสุดในภูมิภาค ยังเชื่อส่งออกปีนี้โต 20-21 ตามเป้า

นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผย
ว่าค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์ ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2553 เดือนมกราคม จนถึงวันที่ 30 กันยายน
2553 แข็งค่าอย่างเป็นนัย โดย เงินบาทมีการแข็งค่า2.975 บาท ต่อ ดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นร้อย
ละ 9.0% ส่งผลกระทบต่อผู้ส่งออกโดยรวม โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่มีการใช้วัตถุดิบใน
ประเทศในสัดส่วนที่สูง ก็จะได้รับผลกระทบในอัตราที่สูงเช่นกัน (High Local content) ทั้งนี้
พบว่า ผู้ส่งออกที่ได้รับผลกระทบมากมีจำนวนร้อยละ 30 ,ได้รับผลกระทบปานกลาง ร้อยละ 41,
ได้รับผลกระทบน้อย ร้อยละ 12 และไม่ได้รับผลกระทบร้อยละ 12 (สัดส่วนที่เหลือแจ้งว่ามีทั้ง
กระทบและไม่กระทบ)
'กลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้า , อิเล็กทรอนิกส์ และยานยนต์ก็ได้แจ้งผลกระทบเช่นกัน ซึ่ง
การปรับราคาทำได้ไม่คุ้มกับอัตราแข็งค่าของเงินบาท ทั้งนี้ หลายธุรกิจส่งออกโดยเฉพาะ
SMEs เริ่มประสบปัญหาการขาดทุน แต่ยังจำเป็นที่ยังต้องขายเพื่อรักษาตลาด และรักษาสภาพ
คล่องของธุรกิจ และอาจมีการDownsize ในเร็ว ๆ นี้ 'นายพยุงศักดิ์กล่าว
ส.อ.ท. ได้เสนอ 7มาตรการเร่งด่วนที่ขอให้ภาครัฐดำเนินการช่วยเหลือผู้ประกอบการ
ที่ได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทแข็งค่า ซึ่งส่งผลกระทบต่อผู้ส่งออกโดยรวม ประกอบด้วย
ขอให้มีการผลักดันให้ผู้ส่งออกชำระค่าระวางเรือได้โดยไม่ต้องแลกเป็นเงินบาท ทั้ง
การซื้อผ่านเอเยนต์เรือและผ่าน Freight Forwarder ซึ่งทาง ธปท. ไม่ขัดข้อง แต่ยังติดขัดทาง
ด้านเทคนิคด้านอัตราแลกเปลี่ยนกับกรมสรรพากร ทั้งนี้หากสามารถทำได้จะสามารถช่วยให้ผู้ส่ง
ออกลดค่าCAF : Currency Adjust Fee ซึ่งบริษัทเรือจะเก็บกับผู้ส่งออกเฉลี่ยร้อยละ 1.5 ถึง
2.0 แต่หากเป็น SMEs หรือการซื้อระวางเรือผ่าน Freight Forwarder อาจสูงถึงร้อยละ 5.0
หรือมากกว่านี้
ตามมาด้วย ขอให้กระทรวงการคลังเร่งหาแนวทางให้ผู้ส่งออกชำระค่าสินค้าเป็นเงิน
ตราต่างประเทศ (อาจใช้กับคู่ค้าซึ่งมีทั้งการนำเข้าและส่งออกซึ่งสามารถเปิดบัญชีเงินฝาก
ประเภท FCD)
ขอให้กรมศุลกากร ลดค่าใบขนจากปกติในราคา 200 บาท และ ค่าล่วงเวลาหลังเวลา
ราชการเพื่อลดต้นทุนของผู้ส่งออก
ขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทยลดการออกมาวิพากษ์ เกี่ยวกับด้านการส่งออกว่าไม่ได้
รับผลกระทบ และ วิพากษ์ ค่าเงินบาทในทิศทางที่ไม่สร้างสรรค์และไม่เป็นประโยชน์ต่อภาคการ
ส่งออก
ขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย และ กระทรวงการคลัง หามาตรการที่จะลดการทะลัก
เข้ามาของเงินสกุลต่างประเทศ (Capital Control) ซึ่งที่ผ่านมามีเงินตราต่างประเทศเข้ามา
แล้วกว่า 1 แสนล้านบาท
ขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทย และ คณะกรรมการนโยบายการเงิน ยังคงมีมาตรการ
คงที่อัตราดอกเบี้ยชี้นำ ร้อยละ 1.75
และ ขอให้รัฐบาลมีการสนับสนุนสภาพคล่องของผู้ส่งออก SME ที่ได้รับผลกระทบ
โดยขอให้ธนาคารพัฒนาวิสากิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (SME Bank) ปล่อย
สินเชื่อในกรอบวงเงินรวม 5,000 ล้านบาท ที่มีอัตราดอกเบี้ย MLR-3 และ การปล่อยกู้ให้มีวิธี
การผ่อนปรนหลักประกัน และ ปล่อยกู้ในลักษณะ PSA : Public Service Account
ทิศทางเงินบาทยังมีการแข็งค่าอย่างต่อเนื่องและยังมีทิศทางชัดเจนว่าจะลงไปใน
ระดับที่ต่ำกว่า 30.00 บาท/ดอลลาร์ ในเร็วนี้ ขณะที่ ณ วันที่ 30 กันยายน เงินบาทยังทำสถิติแข็ง
ต่อเนื่องสูงสุดในรอบ 13 ปี อยู่ที่ระดับ 30.1752 (อัตราถัวเฉลี่ย อยู่ที่ 30.401 บาท/ดอลลาร์)
ทั้งนี้พบว่าเดือนสิงหาคมถึงกันยายน 2553 มีการแข็งค่าอย่างผิดปกติ โดยแข็งค่าเป็นอันดับ 1
ของภูมิภาคที่อัตรา5.640% อันดับที่ 2 เงินวอนของเกาหลีแข็งค่า 3.679% อันดับที่ 3 เงินเปโซ
ของฟิลิปปินส์แข็งค่า 3.488%อันดับที่ 4 เงินดอลลาร์สิงค์โปร์แข็งค่า 3.234% อันดับที่ 5 เงินรัง
กิตของมาเลเซียแข็งค่า 3.234% อันดับ6 เงินหยวนของจีนแข็งค่า 1.186% ขณะที่เวียดนาม
เงินอ่อนค่า 2.035% อย่างไรก็ตาม การแข็งค่าเงินบาทเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2553 เป็นการ
แข็งค่าสอดคล้องกับภูมิภาค ยกเว้น เงินหยวนกับฮ่องกงดอลลาร์กลับมีการอ่อนค่าเล็กน้อยที่ระดับ
ร้อยละ 0.0710 และ 0.0309 ตามลำดับ แต่การแข็งค่าเงินบาทของไทยก็ยังแข็งค่ามากกว่า
มาเลเซียและประเทศสิงค์โปร์
ทั้งนี้ปัจจัยของการแข็งค่าเงินบาท เนื่องจาก สภาวะความไม่ชัดเจนของเศรษฐกิจ
ประเทศสหรัฐ และบางประเทศในยุโรป ยังแก้ปัญหาไม่ได้ ทำให้ประเทศเศรษฐกิจของสหภาพ
ยุโรป โดยรวม) ยังไม่ชัดเจนในการฟื้นตัว อาจต้องใช้เวลาไปถึงกลางปี หรือ ปลายปี 2554
ประกอบกับ อัตราดอกเบี้ยชี้นำของธนาคารแห่งประเทศไทย และ ดอกเบี้ยอนุพันธ์การเงินของ
ไทยให้ผลตอบแทนในอัตราที่สูงกว่า รวมถึงมาตรการของธปท. เป็นเพียงมาตรการการผ่อนปรน
เงื่อนไขให้นักลงทุนไทยไปลงทุนในต่างประเทศให้ง่ายขึ้น จึงไม่อาจเห็นผลสัมฤทธิ์ต่อการกดดัน
ให้เงินบาทเป็นไปในทิศทางที่เอื้อประโยชน์ต่อการแข่งขันด้านการส่งออกของประเทศ
อย่างไรก็ตามการส่งออกปีนี้ คงทำตัวเลขได้เกินเป้าประมาณ 185,000 ล้านเหรียญ
สหรัฐฯขยายตัวได้ตามเป้าหมายที่ประมาณร้อยละ 20-21 แม้ผู้ประกอบการจะได้รับผลกระทบ
จากเงินบาท
ทั้งนี้พบว่าตัวเลขส่งออกในเดือนสิงหาคม 2553 ที่มีการขยายตัวร้อยละ 23.9 อาจ
เป็นตัวเลขลวงตา เนื่องจาก ภาพรวม สินค้ามีการปรับราคาภายใต้เงินตราสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่ง
ตัวเลขการส่งออก 8 เดือน ในเทอม (Term) ดอลลาร์สหรัฐฯ จำนวน 125,083 ล้านเหรียญ
สหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ32.6 แต่ในเทอม (Term) เงินบาท กลับเป็นจำนวนเงิน 4,047,974 ล้าน
บาท มีการขยายตัวเพียงร้อยละ24.3 ซึ่งต่างกันถึงร้อยละ 8.3 แสดงให้เห็นว่าผู้ส่งออกไม่สามารถ
ปรับราคาสินค้าให้ทันกับการแข็งค่าของเงิน ผลต่างก็คือ รายได้ที่หายไปเป็นตัวเลขทั้งประเทศ
ประมาณ 98,527 ล้านบาท




เรียบเรียง โดย พรทิพย์ พลสิทธิ์
อนุมัติ โดย พิมพ์รภัส ศิริไพรวัน
อีเมล์แสดงความคิดเห็น commentnews@efinancethai.com




ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย วันที่ 01/10/10 เวลา 15:08:49

เปิดโผ Turnover List ประจำสัปดาห์สิ้นสุด 30 ก.ย.53

ก.ล.ต. เปิดโผ Turnover List ประจำสัปดาห์สิ้นสุด 30 ก.ย.53

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยหุ้นที่
ติด Turnover list ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อแสดงให้เห็นถึงรายชื่อหุ้นที่มีอัตราการ ซื้อขายหมุนเวียน
สูง อันแสดงว่าเป็นหุ้นที่มีการซื้อขายเปลี่ยนมือกันมาก และอาจมีแนวโน้มนำไปสู่ ภาวะการซื้อ
ขายที่ผิดปกติ ประจำสัปดาห์ ตั้งแต่วันที่ 24-30 ก.ย.53 ดังนี้

Turnover List ของหุ้นสามัญใน SET สัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2553

อันดับ หลักทรัพย์ %1W-Turnover มูลค่าซื้อเฉลี่ยต่อวัน
(ล้านบาท) P/E Ratio หรือบริษัทที่มี
ผลการดำเนินงานขาดทุน Non-Compliance
1 CK 35.36 604.71 ขาดทุน
2 ITD 33.49 863.72 ขาดทุน
3 JAS 43.50 488.93 45.48
4 TRUE 63.88 1,554.34 43.24
5 SAMTEL 86.02 239.88 17.14
6 CEN 38.88 174.29 13.65
7 AJ 47.09 127.74 13.30
8 KGI 66.89 426.61 12.42


มีหลักทรัพย์จำนวน 2 หลักทรัพย์ที่เข้าข่ายต้องยื่นรายงานต่อ ก.ล.ต.


Turnover List ของหุ้นสามัญใน MAIสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2553

อันดับ หลักทรัพย์ %1W-Turnover มูลค่าซื้อเฉลี่ยต่อวัน
(ล้านบาท) P/E Ratio หรือบริษัทที่มี
ผลการดำเนินงานขาดทุน
1 TPOLY 44.17 29.95 14.01




Turnover List ของใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นและใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ใน SET และ
MAIสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2553

อันดับ หลักทรัพย์ %1W-Turnover %Premium มูลค่าซื้อเฉลี่ยต่อวัน
(ล้านบาท) อายุคงเหลือ
(ปี)
1 PTTE13CB 1,408.26 54.22 199.85 0.41
2 ADVA13CA 1,093.51 27.34 186.86 0.39
3 PTT13CC 1,087.10 23.91 331.28 0.25
4 TTA13CA 976.74 30.29 187.57 0.42
5 KBAN13CB 886.40 28.63 124.21 0.41
6 PTTC13CA 782.42 23.70 163.18 0.39
7 PTT13CB 774.73 22.86 85.61 0.16
8 PS13CA 690.30 22.22 100.94 0.25
9 BANP13CB 595.62 20.81 268.03 0.25
10 SCB08CA 368.80 30.43 79.48 0.77


ที่มา: สำนักงาน ก.ล.ต.




เรียบเรียง โดย พรทิพย์ พลสิทธิ์
อนุมัติ โดย พิมพ์รภัส ศิริไพรวัน
อีเมล์แสดงความคิดเห็น commentnews@efinancethai.com




ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย วันที่ 01/10/10 เวลา 17:28:25

หุ้นปิโตรและโรงกลั่นขึ้นยกแผง เข้าได้ทั้ง PTTCH, IVL, TOP และ PTTAR




วันศุกร์ที่ 01 ตุลาคม 2010 เวลา 13:52:56 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นกลุ่มปิโตรเคมีและโรงกลั่นปรับตัวขึ้นแรง หลังจากช่วงครึ่งปีแรกประสบปัญหาการผลการดำเนินงานตกต่ำ ทั้งจากการขาดทุนสต๊อกน้ำมัน และราคาผลิตภัณฑ์ปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์มองว่าธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่นเริ่มฟื้นตัวตั้งแต่ช่วงปลายไตรมาส 3 และคาดว่าจะขยายตัวสูงในปีหน้า ทำให้ราคาหุ้นกลุ่มนี้กลับมาได้รับความสนใจอีกครั้ง โดยล่าสุด หุ้น IRPC ปิดเที่ยงที่ 4.38 บาท บวก 0.22 บาท PTTAR ปิดเที่ยง 27.75 บาท บวก 0.25 บาท IVL ปิดเที่ยง 28.75 บาท บวก 0.50 บาท TOP 53.50 บาท บวก 0.75 บาท PTTCH 135 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง

บล.เอเชียพลัสระบุในบทวิเคราะห์ ดังนี้ ราคาปิโตรเคมียังฟื้นตัวต่อเนื่อง...ซื้อทั้ง PTTCH, IVL, TOP และ PTTAR

ยังเห็นการฟื้นตัวของราคาปิโตรเคมีในทุกกลุ่มทั้งอะโรเมติกส์ โอเลฟินส์ และ PVC

สถานการณ์ราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีหลักๆ ในปัจจุบันยังคงฟื้นตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้าในทุกสายผลิตภัณฑ์ หลังจากได้ลดลงไปทำระดับต่ำสุดในช่วงเดือน ก.ค. 2553 ที่ผ่านมา สาเหตุหลักมาจากกำลังการผลิตใหม่สุทธิ (เมื่อหักกับที่กำลังการผลิตที่ Shutdown หรือ Cut Run) ออกสู่ตลาดน้อยกว่าคาด อีกทั้งยังมีความต้องการที่ฟื้นตัวช่วยหนุนอีกแรง โดยสรุปได้ดังนี้ 1) กลุ่มปิโตรเคมีสายอะโรเมติกส์ (TOP, PTTAR, ESSO): ราคาพาราไซลีน (Px) ล่าสุดอยู่ที่ 1.04 พันเหรียญฯ/ตัน ทำระดับสูงสุดในรอบ 5 เดือนที่ผ่านมา จากที่ลดลงไปต่ำสุดที่ 840 เหรียญฯ/ตัน ในช่วงกลางเดือน ก.ค. 2553 ส่งผลให้ Spread ของราคา Px-แนฟทา ปรับตัวสูงขึ้นมายืนเหนือระดับ 363 เหรียญฯ/ตัน หรือเพิ่มขึ้นถึง 23.8% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในงวด 2Q53 ขณะที่ราคาเบนซีน (Bz) ยังทรงตัวระดับสูงที่ 883 เหรียญฯ/ตัน โดยSpreadของราคา Bz-แนฟทา ยังสูงถึง 206 เหรียญฯ/ตัน เช่นกัน

2) กลุ่มปิโตรเคมีสายโอเลฟินส์ (PTTCH,IRPC): ราคาเอทิลีนกระเตื้องขึ้นต่อเนื่องมาที่ 1.03 พันเหรียญฯ/ตัน สูงสุดในรอบ 4 เดือนที่ผ่านมา เช่นเดียวกับราคาเม็ดพลาสติก HDPE ในขั้นปลาย ยังทรงตัวสูงที่ 1.14 พันเหรียญฯ/ตัน สูงสุดในรอบ 4 เดือนที่ผ่านมาเช่นกัน แต่ Spread ของราคา HDPE-เอทิลีน กลับอ่อนตัวลงมาอยู่ที่ 120 เหรียญฯ/ตัน เนื่องจากราคาเอทิลีนที่ปรับตัวขึ้นรวดเร็วกว่าการเพิ่มขึ้นของราคา HDPE เนื่องจาก Supply เอทิลีนใหม่ๆ ในภูมิภาคเพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาด 3) กลุ่มปิโตรเคมีขั้นปลายสายเม็ดพลาสติก PET (IVL): พบว่าราคา MEG ซึ่งเป็นสารขั้นกลางสำหรับการผลิตเม็ดพลาสติก PET ยังทรงตัวที่ 870 เหรียญฯ/ตัน ขณะที่เม็ดพลาสติก PET ในภูมิภาคเอเชียยังปรับตัวขึ้นต่อเนื่องมาที่ 1.13 พันเหรียญฯ/ตัน ทำให้ Spread เฉลี่ยยังสูงถึง 280 เหรียญฯ/ตัน เทียบกับ 200 เหรียญฯ/ตัน ในช่วงต้นงวด 3Q53 และ 4) กลุ่มปิโตรเคมีขั้นปลายสาย PVC (TPC): ราคา PVC ยังทรงตัวสูงที่ระดับ 955 เหรียญฯ/ตัน โดย Spread ของราคา PVC และวัตถุดิบเอทิลีน อยู่ที่ 443 เหรียญฯ/ตัน เทียบกับระดับเฉลี่ย 414 เหรียญฯ/ตัน ในช่วง 2Q53 หรือเพิ่มขึ้น ราว 7%

วันพฤหัสบดีที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2553

ค่าเงินบาทเช้านี้เปิดตลาดที่ 30.28-30.30 บาท/ดอลล์

ค่าเงินบาทเช้านี้เปิดตลาดที่ 30.28-30.30 บาท/ดอลล์ คาดระหว่างวันแข็งค่าต่อ มองกรอบ
30.20-30.30 บาท/ดอลล์  แนะจับตานโยบาย ประสาร ผู้ว่า ธปท.คนใหม่วันนี้
 นักค้าเงินจากธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) (CIMBT) กล่าวว่า ค่าเงินบาท
เช้านี้เปิดตลาดที่ระดับ 30.28-30.30 บาท/ดอลลาร์ ซึ่งยังเป็นการทำสถิติใหม่อย่างต่อเนื่องใน
รอบ 13 ปี โดยประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของวันนี้ที่ 30.20-30.30 บาท/ดอลลาร์ และยังคงมี
แนวโน้มที่ค่าเงินบาทจะยังคงแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง
 สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตามเป็นพิเศษ ได้แก่ การไหลเข้าของเงินทุน รวมถึงนโยบาย
และแนวทางการทำงานด้านการจัดการเงินทุนไหลเข้าและทิศทางอัตราดอกเบี้ยจากนายประสาร
ไตรรัตน์วรกุล ซึ่งจะเข้ามาดำรงตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยอย่างเป็นทางการในวันนี้   
   

รายงาน   โดย ดลนภา บัญชรหัตถกิจ
เรียบเรียง โดย พรทิพย์ พลสิทธิ์

   
   

ที่มา ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย     วันที่   01/10/10   เวลา   9:36:01

ต่างชาติซื้อสุทธิ 3,345.91 ล้านบาท สิ้นวัน30/09/53

สรุปปริมาณการซื้อขายรายกลุ่ม ต่างชาติซื้อสุทธิ 3,345.91 ล้านบาท
 วันนี้ดัชนีหุ้นไทยปิดตลาดที่ระดับ 975.30จุด เพิ่มขึ้น 5.65 จุด หรือ 0.58% มี
มูลค่าการซื้อขาย 36,811.12 ล้านบาท
ประเภทนักลงทุน -----มูลค่าซื้อ(ลบ.)   มูลค่าขาย(ลบ.)   สุทธิ(ลบ.) 
นักลงทุนสถาบัน       -----     1,641.29    -----  3,016.50     ----- ( -1,375.22)
บัญชีบริษัทหลักทรัพย์   -----  3,766.58    -----  3,771.45   -----     (   -4.87   )
นักลงทุนต่างชาติ   -----       8,889.40  -----   5,543.48    -----      3,345.91
นักลงทุนทั่วไป       -----    22,513.85    ----- 24,479.68   -----   (  -1,965.82)   
   

เรียบเรียง โดย พรทิพย์ พลสิทธิ์
อนุมัติ    โดย พิมพ์รภัส ศิริไพรวัน
อีเมล์แสดงความคิดเห็น  commentnews@efinancethai.com


ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย     วันที่   30/09/10   เวลา   17:33:16

SETปิดสิ้นวันที่ 975.30 จุด เพิ่มขึ้น 5.65 จุด หรือ 0.58%มูลค่า36,595.88 ลบ.

 วันนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดที่ 975.30 จุด เพิ่มขึ้น 5.65 จุด หรือ 0.58%
 วันนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดที่ 975.30 จุด เพิ่มขึ้น 5.65 จุด หรือ 0.58% ณ เวลา
16.44 น. มีมูลค่าการซื้อขาย 36,595.88 ลบ.
 หลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับได้แก่
1.PTT ปิดที่ 297.00 บาท เพิ่มขึ้น 4.00 บาท มูลค่าการซื้อขาย 2,140.11 ลบ.
2.BANPU ปิดที่ 716.00 บาท เพิ่มขึ้น 6.00 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,651.51 ลบ.
3.SCB ปิดที่ 103.50 บาท ลดลง 0.50 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,412.60 ลบ.
4.PTTAR ปิดที่ 27.50 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขาย 1,402.17 ลบ.
5.PTTEP ปิดที่ 154.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,333.66 ลบ.
   
   

เรียบเรียง โดย ดวงสุรีย์ วายุบุตร์
อนุมัติ    โดย พิมพ์รภัส ศิริไพรวัน
อีเมล์แสดงความคิดเห็น  commentnews@efinancethai.com


ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย     วันที่   30/09/10   เวลา   16:45:37

ปิดตลาดฯ วันนี้ PTT-PTTEP-THAI ดันดัชนีฯ ยืนในแดนบวก

               ผู้สื่อข่าวรายงานปิดตลาดฯ วันนี้ ตลาดหุ้นปิดในแดนบวกที่ระดับ 975.30 จุด เพิ่มขึ้น
5.65 จุด หรือ 0.58% ณ เวลา 16.45 น. มูลค่าการซื้อขายอยู่ที่ 36,612.74ล้านบาท
               ทั้งนี้ มี 3 หลักทรัพย์ที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยวันนี้ยืนในแดนบวกได้นั่น คือ PTT ปิดที่
ระดับ 297.00 บาท เพิ่มขึ้น 4.00บาท ราคาหุ้นที่ปรับเพิ่มขึ้นมีผลต่อตลาด 1.4243จุด และ
PTTEP ปิดที่ระดับ 154.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท ราคาที่ปรับเพิ่มขึ้นมีผลต่อตลาด 0.8310
จุด และ THAI ซึ่งปิดที่ระดับ 42.00 บาท เพิ่มขึ้น 3.00 บาท ราคาหุ้นที่ปรับเพิ่มขึ้นมีผล
ต่อตลาด 0.8203จุด 
                ส่วนหุ้นที่กดดัชนีฯ ลดลงมากที่สุด คือ SCC  ปิดที่ระดับ 333.00 บาท ลดลง 3.00
บาท ราคาหุ้นที่ปรับลดลงมีผลต่อตลาด -0.4510 จุด CPALL ปิดที่ระดับ 42.25บาท ลดลง
0.75 บาท ราคาหุ้นที่ปรับลดลง มีผลต่อตลาด -0.4222 จุด และ LH ปิดที่ระดับ 7.40บาท ลด
ลง 0 .20 บาท ราคาหุ้นปรับลดลง มีผลต่อตลาด -0.2512 จุด

   
   

เรียบเรียง โดย พรทิพย์ พลสิทธิ์
อนุมัติ    โดย พิมพ์รภัส ศิริไพรวัน
อีเมล์แสดงความคิดเห็น  commentnews@efinancethai.com


ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย     วันที่   30/09/10   เวลา   16:48:35

วันพุธที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2553

เคจีไอ ชี้ หุ้นขนาดใหญ่ที่ขึ้นน้อยกว่าตลาดยังน่าสน เชียร์ BANPU-BAY-BIGC

                  บทวิเคราะห์หลักทรัพย์จาก บล. เคจีไอ ระบุว่า แม้ว่านักลงทุนต่างชาติจะ
กลับมาซื้อหุ้นไทยเป็นเวลา 2-3 เดือนแล้ว แต่ยอดซื้อสุทธิสะสมของต่างชาติยัง
เทียบไม่ได้กับที่ขายหุ้นออกไปในช่วงเกิดปัญหาเศรษฐกิจการเงินสหรัฐฯ โดยยอด
สะสมสุทธิของต่างชาติตั้งแต่ปี 2551 ยังเป็นขายสุทธิอยู่ถึง 8 หมื่นล้านบาท ซึ่งเท่า
กับว่าในช่วง 2 ปีหลังจากเกิดวิกฤตนั้นนักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อหุ้นไทยประมาณ
ครึ่งหนึ่งของที่ขายออกไป 1.6 แสนล้านบาท
                  ทั้งนี้แนวโน้มนักลงทุนต่างชาติยังเข้าตลาดหุ้นเอเชียและไทยต่อ เนื่อง
จากค่าเงินบาทที่แข็งค่าและเศรษฐกิจที่เติบโตค่อนข้างมีเสถียรภาพ เราจึงมองว่าหุ้น
ขนาดใหญ่ที่มีสภาพคล่องสูง โดยเฉพาะตัวที่ยังขึ้นน้อยนั้นจะมีโอกาสที่ปรับขึ้นมาได้
อีก โดยได้เลือกหุ้น 10 ตัว ประกอบด้วย AOT * BAY * PTT * BIGC * BANPU *
TOP * RATCH * PTTAR * PTTEP * IRPCที่ยังปรับขึ้นน้อยที่สุดเทียบกับดัชนีฯ โดย
เลือกมาจากหุ้นที่ทำการวิเคราะห์ และเลือกที่มูลค่าตลาดสูงกว่า 5 หมื่นล้านบาท ซึ่ง
พบว่าหุ้นที่มีประเด็น การลงทุนน่าสนใจก็มีเช่น BANPU*, BAY* และ BIGC*
   
   

เรียบเรียง โดย พิมพ์รภัส ศิริไพรวัน
อนุมัติ    โดย พรทิพย์ พลสิทธิ์
อีเมล์แสดงความคิดเห็น  commentnews@efinancethai.com


ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย     วันที่   30/09/10   เวลา   9:20:43

ค่าเงินบาทเช้านี้เปิดตลาดที่ 30.42-30.44 บาท/ดอลล์

 ค่าเงินบาทเช้านี้เปิดตลาดที่ 30.42-30.44 บาท/ดอลล์ คาดระหว่างวันแข็งค่าต่อให้กรอบ
30.30-30.45 บาท/ดอลล์
 นักค้าเงินจากธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน)(CIMBT) กล่าวว่า ค่าเงินบาท
เช้านี้เปิดตลาดที่ระดับ 30.42-30.44 บาท/ดอลลาร์ ซึ่งนับว่าแข็งค่าต่อเนื่องจากการปิดตลาด
วานนี้ และยังเป็นการทำสถิติแข็งค่าสูงสุดในรอบ 13 ปี โดยแนวโน้มยังมีโอกาสที่ค่าเงินบาทจะ
แข็งค่าต่อเนื่อง จึงได้ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของวันนี้อยู่ที่ 30.30-30.45 บาท/ดอลลาร์ ทั้ง
นี้เนื่องจากเชื่อว่าจะยังคงมีเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้ามาต่อเนื่อง ขณะเดียวกันค่าเงินสกุลดอลลาร์
ยังมีทิศทางจะอ่อนค่าลงอีก ซึ่งจะทำให้สกุลเงินบาทรวมทั้งสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาคแข็งค่าต่อ
เนื่องเช่นกัน   
   

รายงาน   โดย ดลนภา บัญชรหัตถกิจ
เรียบเรียง โดย พรทิพย์ พลสิทธิ์
อนุมัติ    โดย พิมพ์รภัส ศิริไพรวัน
อีเมล์แสดงความคิดเห็น  commentnews@efinancethai.com


ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย     วันที่   30/09/10   เวลา   9:20:26

ราคาน้ำมันดิบฟื้นตัวต่อ ทะลุ 77 เหรียญฯ อีกครั้ง แนะทยอยซื้อ PTTAR-TOP

 โบรกฯ คาด ราคาน้ำมันดิบฟื้นตัวต่อ ทะลุ 77 เหรียญฯ อีกครั้ง หนุนหุ้นพลังงาน
เดินหน้า แนะทยอยซื้อ PTTAR-TOP 
                  บทวิเคราะห์หลักทรัพย์จาก บล.เอเซียพลัส เปิดเผยว่า วานนี้สำนักงาน
สารสนเทศด้านพลังงานของสหรัฐฯ (EIA) ได้เปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ สิ้นสุด
สัปดาห์ที่ผ่านมาต่ำกว่าตลาดคาด โดยพบว่าปริมาณสต๊อกน้ำมันดิบลดลง 4.75 แสน
บาร์เรล ลงสู่ 357.86 ล้านบาร์เรล เป็นการปรับตัวลดลงมากกว่าที่ตลาดคาดไว้ว่าจะ
ลดลงเพียง 3 แสนบาร์เรล เช่นเดียวกับสต็อกน้ำมันสำเร็จรูป (น้ำมันกลั่น) ที่ลดลง
มากถึง 1.27 ล้านบาร์เรล สวนทางกับที่ตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้นราว 4 แสนบาร์เรล โดย
เป็นการลดลงของสต็อกน้ำมันเบนซินสูงถึง 3.47 ล้านบาร์เรล ขณะที่คาดว่าสต็อก
น้ำมันสำเร็จรูปประเภทอื่นๆ เช่นน้ำมันเครื่องบิน และน้ำมันดีเซล น่าจะเพิ่มขึ้น โดย
สต็อกน้ำมันดิบที่ลดลงดังกล่าว เป็นปัจจัยหนุนให้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกฟื้นตัว
ต่อเนื่อง โดยล่าสุดราคาน้ำมันดิบตลาดล่วงหน้าขยับขึ้นทะลุ 75 เหรียญฯ ขึ้นมายืน
77 เหรียญฯต่อบาร์เรล เป็นครั้งแรกในรอบ 1 เดือน
                  เช่นเดียวกับราคาน้ำมันดิบดูไบที่ขึ้นมายืนเหนือ 77 เหรียญฯ เช่นกัน
ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบดูไบจากต้นปีจนถึงปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ75.88 เหรียญฯต่อ
บาร์เรล ซึ่งถือว่าดีกว่าสมมติฐานของ ASP ที่คาดว่าราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยในปี
2553 และ 2554 จะอยู่ที่ 75 เหรียญฯและ 80 เหรียญฯ ตามลำดับ เช่นเดียวกับราคา
ถ่านหินในตลาดฟิวเจอร์ส ที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเป็นวันที่ 3 มาอยู่ที่ระดับ 95.64
เหรียญฯต่อตัน น่าจะเป็นปัจจัยหนุนหุ้นในกลุ่มปิโตรเลียมให้ยังคงฟื้นตัวต่อได้อีก
อย่างน้อยราว 1-2 วัน
                  สำหรับผู้ที่มีหุ้น BANPU, PTTEP ยังแนะนำให้ถือต่อ และรอขายทำไร
ระยะสั้น โดยมีส่วนลดจาก Fair Value ราว 5-10% เช่น PTTEP(FV@B185) ที่แนว
ต้าน 155-160 บาท ส่วนBANPU(FV@B755) น่าจะขายทำกำไรที่ 720 บาทขึ้นไป
ขณะที่หุ้นโรงกลั่น ที่มีธุรกิจปิโตรเคมีต่อยอด คาดว่าผลประกอบการใน 3Q53–
4Q53 จะมีแนวโน้มดีขึ้นจากงวด 6 เดือนแรกของปีนี้อย่างมาก นักลงทุนระยะกลาง
(1-3 เดือนขึ้นไป) แนะนำให้ทยอยซื้อเมื่อราคาอ่อนตัวคือ PTTAR(FV@B34) และ
TOP(FV@B66)   
   

เรียบเรียง โดย พิมพ์รภัส ศิริไพรวัน
อนุมัติ    โดย พรทิพย์ พลสิทธิ์
อีเมล์แสดงความคิดเห็น  commentnews@efinancethai.com


ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย     วันที่   30/09/10   เวลา   9:11:31

SAT มองยอดขายQ3/53 สูงกว่าไตรมาสก่อน ราคาเหมาะสม 27.60 บาท

 กูรู แนะลุย SAT มองยอดขายQ3/53 สูงกว่าไตรมาสก่อน ให้ราคาเหมาะสม
27.60 บาท
               บทวิเคราะห์หลักทรัพย์จาก บล.เคจีไอ ระบุว่า ผู้บริหาร SAT เผยขณะนี้
ได้รับการยืนยันคำสั่งซื้อชิ้นส่วนยานยนต์สำหรับรถอีโคคาร์เพิ่มเติมจากอีก 3 ค่ายคือ
โตโยต้า มิตซูบิชิ และซูซูกิ จากเดิมที่มีการยืนยันคำสั่งซื้อเพียง นิสสัน และ ฮอนด้า
นอกจากนี้ได้มีการคาดการณ์เพิ่มเติมว่ายอดขายของ SAT ในงวดไตรมาส 3/53 จะ
เติบโตสูงกว่างวดไตรมาส1/53 และ ไตรมาส 2/53 ตามการเติบโตของอุตสาหกรรมฯ
และประเมินการเติบโตของยอดขายใน 3 ปีข้างหน้า (2554-2556) จะเติบโตเฉลี่ยปี
ละประมาณ 10%
                    เรามีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มผลการดำเนินงานของ SAT ดังนั้นจึงยัง
คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสม 27.60 บาท   
   

เรียบเรียง โดย พิมพ์รภัส ศิริไพรวัน
อนุมัติ    โดย พรทิพย์ พลสิทธิ์
อีเมล์แสดงความคิดเห็น  commentnews@efinancethai.com


ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย     วันที่   30/09/10   เวลา   9:10:50

งงได้อีก!! โบรกฯแนะซื้อ PTTAR เหตุเทคนิคแจ่ม แต่พื้นฐานแย่คงคำแนะนำขาย

 
 บทวิเคราะห์บล.ธนชาต ระบุว่า ในแง่ทางเทคนิคแนะนำซื้อ PTTAR โดยให้แนวต้าน
28.50 บาท และ 29.50 บาท ประเด็นที่สนับสนุนการปรับขึ้นของราคาหุ้น PTTAR คือ ส่วนต่าง
ระหว่าง paraxylene กับ naphtha ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจากจุดต่ำสุดในเดือน ก.ค.10 ที่ 210
เหรียญสหรัฐ/ตัน เป็น 360 เหรียญสหรัฐ/ตัน ในปัจจุบัน เช่นเดียวกับเบนซิล ที่ปรับขึ้นจากจุดต่ำ
สุดที่ 160 เหรียญสหรัฐ/ตัน ขึ้นมาอยู่ที่ 200 เหรียญสหรัฐ/ตัน ทำให้เราคาดว่า PTTAR จะมี
กำไรเพิ่มขึ้นจาก 2Q10 ที่ขาดทุนมาก แต่การปรับขึ้นของส่วนต่างไม่ได้เป็นแนวโน้มถาวร ทำ
ให้ยังมีความเสี่ยงจากกำลังการผลิตใหม่ที่ยังเข้ามาไม่หมด เราจึงยังคงคำแนะนำ “ขาย” ในเชิง
พื้นฐาน ราคาเป้าหมาย 24.10 บาท   
   

เรียบเรียง โดย อนุรักษ์ ลีประเสริฐสุนทร
อนุมัติ    โดย พิมพ์รภัส ศิริไพรวัน
อีเมล์แสดงความคิดเห็น  commentnews@efinancethai.com


ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย     วันที่   30/09/10   เวลา   9:10:30

บอร์ดBANPU อนุมัติจ่ายปันผลระหว่างกาล อัตราหุ้นละ 8บาท กำหนดจ่าย 28 ต.ค.นี้

                  รายงานข่าวจากบริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน)(BANPU) แจ้งมติคณะกรรมการ
บริษัทฯ ครั้งที่ 15/2010 ซึ่งประชุมเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2553 ดังนี้
           ให้บริษัทฯ จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากกำไรสะสมและผลการดำเนินงาน งวด 6 เดือน
สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2553 ให้แก่ผู้ถือหุ้นจำนวน 271,747,855 หุ้น ในอัตราหุ้นละ 8 บาท
รวมเป็นเงิน 2,173,982,840 บาทโดยจ่ายจากกำไรที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำมารวมคำนวณภาษี
เงินได้นิติบุคคลซึ่งผู้รับเงินปันผลจะไม่ได้รับเครดิตภาษี กำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวัน
ที่ 28 ตุลาคม 2553 ทั้งนี้ บริษัทฯได้กำหนดสิทธิของผู้ถือหุ้นในการรับเงินปันผลระหว่างกาล ดังนี้
       1. วันที่ 14 ตุลาคม 2553 กำหนดให้เป็นวันกำหนดสิทธิของผู้ถือหุ้น (Record
           Date) สำหรับผู้ถือหุ้นทุกรายที่มีชื่อปรากฎในทะเบียนรายชื่อผู้ถือหุ้นของ
           บริษัทฯ เพื่อสิทธิในการรับเงินปันผลระหว่างกาล
       2. วันที่ 15 ตุลาคม 2553 กำหนดให้เป็นวันปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นของ
           บริษัทฯ สำหรับรวบรวมรายชื่อผู้ถือหุ้นเพื่อให้เป็นไปตามมาตรา 225 ของ
           พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 โดยวิธีปิดสมุด
           ทะเบียนพักการโอนหุ้น
    วันที่คณะกรรมการมีมติ      : 29 ก.ย. 2553
ชนิดการปันผล       : จ่ายปันผลเป็นเงินสด
วันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่ได้รับสิทธิปันผล   : 14 ต.ค. 2553
(Record date)
วันปิดสมุดทะเบียนเพื่อรวบรวมรายชื่อผู้ถือหุ้นตามมา : 15 ต.ค. 2553
ตรา 225
ของพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
วันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล(XD)     : 12 ต.ค. 2553
อัตราการจ่ายเงินปันผล   
อัตราการจ่ายเงินปันผลหุ้นสามัญ (บาท/หุ้น)   : 8.00
ราคาพาร์ (บาท)      : 10.00
วันที่จ่ายปันผล      : 28 ต.ค. 2553
งวดดำเนินงาน       :
    วันที่ 01 ม.ค. 2553 ถึงวันที่ 30 มิ.ย. 2553  และ กำไรสะสม
   
   

เรียบเรียง โดย พรทิพย์ พลสิทธิ์
อนุมัติ    โดย พิมพ์รภัส ศิริไพรวัน
อีเมล์แสดงความคิดเห็น  commentnews@efinancethai.com


ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย     วันที่   30/09/10   เวลา   8:51:30

BAY รับโอนหุ้น KCC จาก อยุธยา แคปปิตอล เซอร์วิสเซสส่งผลให้ถือหุ้นทางตรงสัดส่วน100%

BAY รับโอนหุ้น KCC จาก อยุธยา แคปปิตอล เซอร์วิสเซส ส่งผลให้ถือหุ้นทางตรงสัดส่วน
100%

นางเจนิส แร แวน เอ็กเคอเรน ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านการเงิน ธนาคารกรุง
ศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) (BAY) แจ้งว่า ธนาคารได้ปรับสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัท
บัตรกรุงศรีอยุธยา จำกัด (“KCC”) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของธนาคารที่ประกอบธุรกิจบัตรเครดิต และ
สินเชื่อส่วนบุคคล จากเดิมที่ธนาคารถือหุ้นทางตรงและทางอ้อมในสัดส่วนร้อยละ 100.00 ของ
จำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของ KCC เป็น การถือหุ้นทางตรงในสัดส่วนร้อยละ 100.00
ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด โดยธนาคารได้รับโอนหุ้น KCC จากบริษัท อยุธยา
แคปปิตอล เซอร์วิสเซส จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของธนาคาร ที่ธนาคารถือหุ้นร้อยละ 100.00
ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด




เรียบเรียง โดย พรทิพย์ พลสิทธิ์
อนุมัติ โดย พิมพ์รภัส ศิริไพรวัน
อีเมล์แสดงความคิดเห็น commentnews@efinancethai.com




ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย วันที่ 30/09/10 เวลา 8:48:21

TRUE เผย ศาลปกครองสูงสุดให้ระงับการประมูล 3G จนกว่าคดีจะถึงที่สุด

TRUE เผย ศาลปกครองสูงสุดให้ระงับการประมูล 3G จนกว่าคดีจะถึงที่สุดหรือศาลจะมีคำ
สั่งเป็นอย่างอื่น

บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (TRUE)รายงานว่า ตามที่บริษัทฯ ได้เคย
แจ้งให้ทราบว่า ที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัทฯ ได้มีมติอนุมัติให้ 'บริษัท เรียล มูฟ จำกัด'
('เรียลมูฟ') ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ เข้าร่วมประมูลคลื่นความถี่ 3G รายละเอียดตาม
หนังสือของบริษัทฯ ฉบันที่อ้างถึง นั้น
บริษัทฯ ขอแจ้งให้ทราบเพิ่มเติมว่า สำนักงานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม
แห่งชาติ หรือ กทช. ได้มีหนังสือมายังเรียลมูฟเพื่อแจ้งให้ทราบว่า ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่ง
ให้ระงับการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่เพื่อการประกอบกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ IMT ย่าน 2.1
GHz และการดำเนินการต่อไปตามประกาศคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง
หลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่เพื่อการประกอบกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ IMT
ย่าน 2.1 GHz ไว้เป็นการชั่วคราวจนกว่าคดีจะถึงที่สุดหรือศาลจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น ทั้งนี้ หาก
ศาลปกครองมีคำสั่งเป็นประการใด สำนักงานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติจะแจ้ง
ให้ทราบต่อไป



เรียบเรียง โดย อิทธิพล พันธ์ธรรม
อนุมัติ โดย พิมพ์รภัส ศิริไพรวัน
อีเมล์แสดงความคิดเห็น commentnews@efinancethai.com




ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย วันที่ 30/09/10 เวลา 8:48:03

THAI-NVDRเก็บหุ้น TT&T และ BLAND เพิ่ม

ไทยเอ็นวีดีอาร์ เก็บหุ้น TT&T เพิ่ม 0.07% ส่งผลให้มีหุ้นในมือ 5.02% และเก็บหุ้น
BLAND เพิ่ม 0.06% ส่งผลให้มีหุ้นในมือ 10.0%

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ได้รับแบบรายงานการได้มา หุ้นของบมจ. ทีทีแอนด์ที(TT&T)โดย บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด
ซึ่งเป็นการได้มา เมื่อวันที่ 24/09/2553จำนวนหลักทรัพย์ที่ได้มาคิดเป็น 0.07% ของสิทธิออก
เสียงทั้งหมดของกิจการจำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการได้มาคิดเป็น 5.02% ของสิทธิออกเสียง
ทั้งหมดของกิจการ
และได้รับรายงานการได้มา หุ้นของบมจ. บางกอกแลนด์(BLAND)โดย บริษัท
ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัดซึ่งเป็นการได้มา เมื่อวันที่ 27/09/2553 จำนวนหลักทรัพย์ที่ได้มาคิด
เป็น 0.06% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการจำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการได้มาคิดเป็น
10.0% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ




เรียบเรียง โดย พรทิพย์ พลสิทธิ์
อนุมัติ โดย พิมพ์รภัส ศิริไพรวัน
อีเมล์แสดงความคิดเห็น commentnews@efinancethai.com




ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย วันที่ 30/09/10 เวลา 8:44:36

โบรกฯตีปีกQ3กำไรทะลัก!!

โบรกฯตีปีกQ3กำไรทะลัก!!

จับตางบ Q3/53 กลุ่มหลักทรัพย์!! คาดกำไรพุ่งกระฉูด ตามวอลุ่มเฉลี่ยต่อ
วันที่แตะ 3.5 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 52% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/53 แถมได้กำไร
จากพอร์ตลงทุนหนุนอีกแรง หลังดัชนีทะยานต่อเนื่องรวม 172.65 จุด หรือ 21.66%
ระยะสั้นนักวิเคราะห์เชียร์ซื้อ ASP-BLS-KGI-PHATRA เหตุมาร์เก็ตแชร์สูง-งาน
วาณิชฯชุก-ปันผลงาม แต่ระยะยาวมีความเสี่ยงเรื่องการแข่งขัน หลังเปิดเสรีค่าคอม
มิสชั่นปี 55
หุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ถูกคาดหมายว่าจะเป็นกลุ่มที่รายงานผลการดำเนินงาน
ไตรมาส 3/53 อย่างโดดเด่น ตามภาวะการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ที่คึกคักอย่าง
เห็นได้ชัด โดยหลายฝ่ายคาดการณ์ว่ากลุ่มหลักทรัพย์จะมีกำไรเพิ่มขึ้นมากในช่วง
Q3/53 จาก 2 สาเหตุ คือ รายได้จากค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ที่สูงขึ้น หลังวอลุ่ม
ซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้นถึง 52.49% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/53 และกำไรจากพอร์
ตลงทุนที่น่าจะสูงขึ้นเช่นกัน หลังจากที่ดัชนีหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วงไตร
มาส 3/53 จากระดับ 797 จุด มาปิดที่ 969.65จุด(29 ก.ย.53) หรือเพิ่มขึ้นกว่า
21.66%
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์มองว่าหุ้นหลักทรัพย์ที่น่าสนใจควรเป็นตัวที่มีส่วนแบ่ง
ตลาด(มาร์เก็ตแชร์)สูง และเป็นหุ้นที่มีงานวาณิชธนกิจมาก ขณะที่ราคาในกระดานยัง
ไม่สูงมาก และมีอัตราการจ่ายปันผลที่น่าสนใจ อาทิเช่น บล.เอเซีย พลัส(ASP) บล.
บัวหลวง(BLS) บล.ภัทร( PHATRA) และ บล.เคจีไอ(KGI) เป็นต้น
อย่างไรก็ตามนักวิเคราะห์มองว่าในระยะยาวหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ยังมีความ
เสี่ยงเรื่องการแข่งขันที่รุนแรง โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่มีการซื้อขายต่อวันสูงกว่า 20
ล้านบาทที่จะทวีความรุนแรงมากขึ้นเมื่อใกล้เปิดเสรีค่าคอมมิสชั่นเต็มรูปแบบในปี 55

กิมเอ็งชี้กลุ่มโบรกฯQ3/53 กำไรพุ่ง แต่ระยะยาวยังเสี่ยงเพราะแข่งขันสูง

บทวิเคราะห์ บล.กิมเอ็ง(ประเทศไทย) คาดการณ์หุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ว่า
มูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ในช่วงไตรมาส 3 (1 ก.ค. - 24 ก.ย.) เพิ่มขึ้นอย่างก้าว
กระโดดต่อเนื่องจากไตรมาส 2 โดยมีมูลค่าการซื้อขาย 4.15 ล้านล้านบาท โต
61.2% qoq หรือเฉลี่ยต่อวันประมาณ 35,833 ล้านบาท จาก 23,498 ล้านบาทใน
Q2/53 จึงทำให้มูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในปี 53 เพิ่มขึ้นเป็น 26,183 ล้านบาท เพิ่ม
ขึ้นจากปี 52 ที่ 17,853 ล้านบาท/วัน
สัดส่วนของนักลงทุนรายย่อยเพิ่มขึ้นเป็น 65% จาก 58% ในไตรมาส 2
ขณะที่สัดส่วนของนักลงทุนต่างชาติลดลงเป็น 15.7% จากไตรมาส 2 ที่ 21.8% กอง
ทุนในประเทศและพอร์ตโบรกเกอร์สัดส่วนทรงตัวจากไตรมาสก่อนที่ 7.6% และ
11.1% ตามลำดับ หากไม่รวมมูลค่าการซื้อขายของพอร์ตโบรกเกอร์มูลค่าการซื้อขาย
เฉลี่ยต่อวันนับจากต้นปีเท่ากับ 22,900 ล้านบาท ขณะที่ราคาหุ้นที่ทำการวิเคราะห์
ASP มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงที่สุด 35% mom ตามด้วย PHATRA และ BLS เพิ่มขึ้น
25% และ 20% ตามลำดับ
ทั้งนี้ กิมเอ็งมีมุมมองเป็นกลางสำหรับกลุ่มหลักทรัพย์ ระยะสั้นมุมมองยังสด
ใส โดยคาดว่าในเดือน ต.ค. 53 ปริมาณการซื้อขายจะยังคงคึกคักจากเงินทุนไหลเข้า
และการเริ่มเข้ามาเก็งกำไรผลประกอบการงวดไตรมาส 3 และเชื่อว่ามูลค่าการซื้อ
ขายไม่รวมพอร์ตโบรกเกอร์ในงวดไตรมาส 4 เฉลี่ยจะอยู่ที่ประมาณ 32,000 ล้าน
บาท/วัน
ขณะที่แนวโน้มผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3/53 กำไรจะเติบโตทั้ง 3
บริษัทที่ทำการวิเคราะห์ ถึงแม้ว่า PHATRA และ BLS จะมีส่วนแบ่งการตลาดลดลง
จากไตรมาส 2/53 แต่มีรายได้จากงานวาณิชธนกิจเข้ามาชดเชย โดย PHATRA จบดี
ลหุ้นเพิ่มทุนของ THAI ได้ในเดือน ก.ย. และ BLS จบงานการซื้อกิจการของ TUF
ส่วนมุมมองระยะยาวยังเป็นลบต่ออุตสาหกรรม เนื่องจากการแข่งขันในอุตสาหกรรม
ยังคงมีอยู่โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่มีการซื้อขายต่อวันสูงกว่า 20 ล้านบาท และจะยิ่ง
ทวีความรุนแรงมากขึ้นเมื่อใกล้เปิดเสรีเต็มรูปแบบในปี 55
อย่างไรก็ตาม จากปริมาณการซื้อขายที่พลิกฟื้นอย่างแข็งแกร่งในงวดไตร
มาส 3/53 ทำให้ต้องปรับสมมติฐานมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยต่อวันไม่รวมพอร์ตโบรกเกอร์
ของปี 53 และปี 54 ขึ้นเป็น 25,000 ล้านบาท จากเดิม 19,000 ล้านบาท ซึ่งหากอ้าง
อิงส่วนแบ่งการตลาดของ ASP, BLS และ PHATRA ที่ 5.2%, 4.5% และ 4% ตาม
ลำดับ จะได้ประมาณการกำไรสุทธิปี 53 และปี 54 ของ ASP ที่ 465 ล้านบาท และ
470 ล้านบาท ตามลำดับ
นอกจากนี้ปรับกำไรสุทธิปี 53 และปี 54 ของ BLS ขึ้นเป็น 284 ล้านบาท
และ 278 ล้านบาท ตามลำดับ และปรับกำไรสุทธิปี 53 และปี 54 ของ PHATRA
เป็น 479 ล้านบาท และ 481 ล้านบาท ตามลำดับ และหากประเมินมูลค่าหุ้นกลุ่มหลัก
ทรัพย์โดยอิง PER ปี 54 ที่ 12 เท่า ทำให้ราคาเหมาะสมของหุ้น ASP ปรับขึ้นเป็น
2.68 บาท BLS ปรับขึ้นเป็น 18.20 บาท และ PHATRA ขึ้นเป็น 27 บาท
สำหรับหุ้นเด่นในกลุ่มแนะนำ ซื้อเมื่ออ่อนตัว BLS เพราะราคาหุ้นยังมี
upside บริษัทได้เปรียบจากการมีบริษัทแม่เป็นธนาคารกรุงเทพทำให้มีงานวาณิช
ธนกิจเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ส่วน ASP และ PHATRA ราคาหุ้นปรับตัวสะท้อนปัจจัย
บวกไประดับนึงแล้วจนทำให้ไม่มีส่วนต่างจากราคาเหมาะสมของเราจึงแนะนำ ขาย
ทั้งนี้ หากพิจารณามูลค่าการซื้อขายในไตรมาส 3/53 (ถึงวันที่ 24 ก.ย.)
เทียบกับไตรมาส 2/53 จะเห็นว่าทั้ง 3 บริษัทฯ มีมูลค่าซื้อขายเพิ่มขึ้นโดย ASP โต
61.36%, BLS โต 39.89% และ PHATRA โต 45.2% ASP ยังสามารถครองส่วนแบ่ง
การตลาดอยู่ในอันดับ 3 ได้ตลอดทั้งปี ขณะที่ BLS เคยรักษาส่วนแบ่งการตลาดไว้
ได้ที่ประมาณ 4.7%-4.8% รั้งอันดับ 4 – 5 ในช่วงครึ่งปีแรก แต่กลับร่วงลงมาอยู่ที่
อันดับ 9 โดยมีส่วนแบ่งการตลาดของงวดไตรมาส 3 ที่ 4.14% ที่น่ากังวลคือ
PHATRA มีส่วนแบ่งการตลาดลดลงอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว จากเคยรั้งอันดับ 6 ใน
ไตรมาส 1/53 ที่ส่วนแบ่งการตลาด 4.62% มาเป็นอันดับที่ 11 ในไตรมาส 3/53 และมี
ส่วนแบ่งการตลาดลดลงเหลือ 3.61%

เอเซีย พลัส มอง KGI-BLS แจ่มสุดเหลืออัพไซด์มาก

นักวิเคราะห์ บล.เอเซียพลัส กล่าวว่า หุ้นกลุ่มหลักทรัพย์จะตอบรับปัจจัย
บวกจากวอลุ่มซื้อขายในตลาดช่วงไตรมาส 3/53 ที่ปรับตัวสูงขึ้นจากไตรมาสก่อน
หน้า โดยประเมินว่ากำไรโดยรวมของกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ในไตรมาสนี้มีโอกาสออก
มาสูงกว่าไตรมาส 2/53 ซึ่งมาจากปัจจัยบวก 2 ประเด็น คือ รายได้ค่าธรรมเนียมนาย
หน้าซื้อขายหลักทรัพย์ที่ปรับตัวสูงขึ้น เป็นไปในทิศทางเดียวกับวอลุ่มซื้อขายเฉลี่ย
ต่อวันในไตรมาส 3/53 ซึ่งอยู่ที่ประมาณ 3 หมื่นล้านบาทต่อวัน แต่หากรวมวอลุ่มซื้อ
ขายเฉลี่ยของพอร์ตลงทุนด้วย มูลค่าเฉลี่ยของวอลุ่มนับจากต้นเดือน ก.ค.-7 ก.ย. 53
พบว่าอยู่ที่ประมาณ 2.4 หมื่นล้านบาทต่อวัน
นอกจากนี้ กำไรจากพอร์ตลงทุนของโบรกเกอร์ในไตรมาส 3/53 ยังปรับตัว
สูงขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า ตามแนวโน้มของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ปรับตัวดีขึ้น และ
คาดว่า ณ สิ้นไตรมาส 3/53 ดัชนีฯมีโอกาสปิดเกินที่ระดับ 900 จุดสูงกว่าไตรมาส
2/53 ที่ดัชนีฯปิดในระดับ 797 จุด
สำหรับหุ้นหลักทรัพย์ที่โดดเด่นและมีความน่าสนใจลงทุน ได้แก่ KGI และ
BLS ประเมินว่าราคายังมี Upside จากปัจจุบันที่ประมาณ 25% และมีนโยบายจ่ายเงิน
ปัน 1 ครั้งต่อปี โดยคาดว่าหุ้นทั้งสองตัวจะจ่าย Dividend yield ในอัตรากว่า 8% เทียบ
กับ KEST และ PHATRA ที่สามารถจ่ายเงินปันผลในอัตราใกล้เคียงกัน แต่ได้มีการ
ประกาศจ่ายเงินปันระหว่าง15:08 29/09/10กาลไปแล้วจึงมีความน่าสนใจลงทุนน้อย
กว่า

นักวิเคราะห์เชื่อกำไรโตยัน Q4/53

นายชัยยศ จวางกูร ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.คันทรี่กรุ๊ป กล่าว
ว่า แนวโน้มผลประกอบการของบริษัทกลุ่มหลักทรัพย์โดยรวมในไตรมาส3/53จะเติบ
โตมากกว่าไตรมาสก่อนหน้านี้อย่างมาก สะท้อนได้จากปริมาณการซื้อขายที่ปรับตัว
เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่เฉลี่ย 3.56 หมื่นล้านบาทต่อวัน โดยเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนเฉลี่ย
เพียง 2.3 หมื่นล้านบาทต่อวันเท่านั้น หลังจากที่ภาวะตลาดฯได้รับอานิสงส์จากเม็ด
เงินลงทุนต่างชาติ และคาดว่าผลการดำเนินงานจะขยายตัวดีอย่างต่อเนื่องจนถึงไตร
มาส4/53
นอกจากนี้ จากกรณีที่ราคาหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ปรับตัวเพิ่มขึ้นโดยมีเพียงหุ้น
2 ตัวที่ราคาเพิ่มขึ้นอย่างโดดเด่น ได้แก่ KGI และ ASP เพราะมีรายได้พิเศษจากการ
ออกหุ้นเดริเวทีฟวอร์แรนต์ ซึ่งที่ผ่านมาได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นจำนวน
มาก
นายวีระชัย ครองสามสี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ฟาร์อีสท์ กล่าวว่า หุ้นที่
มีความโดดเด่นที่สุดในกลุ่มหลักทรัพย์ ได้แก่ PHATRA เนื่องจากในปีนี้บริษัทฯมีงาน
วาณิชธนกิจจำนวนมาก ขณะเดียวกันยังมีผลกำไรจากพอร์ตลงทุนของบริษัทฯอีก
ด้วย โดยประเมินกำไรทั้งปีอยู่ที่ 575 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีก่อน 35% ขณะที่
มูลค่าพื้นฐานอยู่ที่ 29.50 บาท จึงแนะนำให้เก็งกำไร ตามวอลุ่มตลาดฯ

'มนตรี'ยอมรับกำไร Q3 พุ่ง

นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์กิมเอ็ง
(ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KEST เปิดเผยกับ eFinancethai.com ว่า แนว
โน้มผลกำไรของ
บริษัทฯในช่วงไตรมาส3/53 จะเติบโตมากกว่าไตรมาส2/53 ที่มีกำไรอยู่ที่
138.06 ล้านบาท แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ว่ากำไรจะโตเป็นเท่าตัวหรือไม่ โดยกำไร
ที่เพิ่มขึ้นมาจากปริมาณการซื้อขายที่หนาแน่นต่อเนื่อง เฉลี่ยต่อวันอยูที่ประมาณ 3-
4 หมื่นล้านบาท ส่วนรายได้-กำไรในปี 53 จะใกล้เคียงหรือเติบโตมากกว่าปีก่อนเล็ก
น้อย เพราะแม้ว่ามูลค่าการซื้อขายในปัจจุบันมีทิศทางที่ดีขึ้น แต่รายได้ค่าคอมมิสชั่น
โดยเฉลี่ยลดลงจากการใช้คอมมิสชั่นแบบขั้นบันได




เรียบเรียง โดย กานต์ธิดา หวานฉ่ำ
อีเมล์แสดงความคิดเห็น commentnews@efinancethai.com




ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย วันที่ 30/09/10 เวลา 8:44:35

ค่าบาทแข็งเอื้อพลังงาน ช่วยประหยัด6-7หมื่นล.

สนพ.ระบุค่าเงินบาทแข็งต่อเนื่องส่งผลดี ช่วยชาติประหยัดเงินนำเข้าพลังงาน 6-7
หมื่นล้านบาท ด้านกฟผ.ชี้เศรษฐกิจฟื้นตัว ฉุดปริมาณสำรองไฟฟ้าต่ำกว่า 15%
นายวีรพล จิระประดิษฐกุล ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.)
เปิดเผยว่าสถานการณ์เงินบาทที่ปรับตัวแข็งค่าอย่างต่อเนื่องแล้วประมาณ 10% ส่งผลดีต่อการ
นำเข้าพลังงานจากต่างประเทศ โดยสามารถช่วยประหยัดต้นทุนได้ประมาณ 6-7 หมื่นล้านบาท
สำหรับสถานการณ์การใช้พลังงานในภาพรวมปีนี้มีอัตราขยายตัวเติบโตสูงกว่า ปีก่อน
เล็กน้อย โดยการใช้ไฟฟ้าเติบโตสูงกว่า 10%จากปีก่อน ทำให้การใช้ก๊าซธรรมชาติในภาพรวม
เพิ่มสูงขึ้นด้วย เนื่องจากประเทศไทยมีการนำก๊าซฯมาผลิตไฟฟ้ามากถึง 70%
นอกจากนี้ เงินบาทที่แข็งค่ายังส่งผลต่อราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศไม่ให้สูงขึ้น
ด้วย เพราะค่าเงินบาทที่เปลี่ยนแปลงไปทุก 1 บาท/ดอลลาร์ มีผลต่อราคาน้ำมันประมาณ 20
สตางค์/ลิตร ขณะที่ปัจจุบันค่าการตลาดค้าปลีกน้ำมันอยู่ในอัตราเฉลี่ยประมาณ 1.50 บาทต่อ
ลิตร
ด้านนายสุทัศน์ ปัทมสิริวัฒน์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)
กล่าวว่า จากความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตามการฟื้นตัวของ เศรษฐกิจ
ส่งผลให้ปริมาณสำรองไฟฟ้าปรับลดลงต่ำกว่า 15%ของกำลังการผลิตติดตั้งทั้งหมด แต่หลังจาก
โรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซฯ เป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าเข้าระบบตามแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้า
ในระยะ ยาว(พีดีพี 2010) อีกประมาณ 10 ปีหลังจากนี้ไป จะทำให้สำรองไฟฟ้ากลับมาอยู่ใน
อัตราปกติที่ประมาณ 15%
ส่วนแผนการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในประเทศไทย รัฐบาลจะต้องตัดสินใจภายใน
ต้นปี 2554 เพื่อที่จะได้ดำเนินการตามแผนก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เข้าระบบได้ทันภายในปี
2563 แต่หากรัฐบาลยังไม่ตัดสินใจจะให้ก่อสร้างหรือไม่ ก็ต้องมีความชัดเจนว่า จะเลือกใช้
เชื้อเพลิงอื่นๆ อย่างไร เช่น การใช้ถ่านหิน การนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว เป็นต้น



ที่มา แนวหน้า วันที่ 30/09/10 เวลา 8:20:47

พยากรณ์อากาศ ประจำวันที่ 30 กันยายน 2553

กรมอุตุนิยมวิทยา พยากรณ์อากาศประจำวันพฤหัสบดีที่ 30 กันยายน 2553

ประจำวันที่ 30 กันยายน 2553
ลักษณะอากาศทั่วไปเมื่อเวลา 04:00 น.
บริเวณความกดอากาศสูงกำลังปานกลางยังคงปกคลุมภาคเหนือและภาคตะวันออก
เฉียงเหนือตอนบน ประกอบกับมีคลื่นกระแสลมตะวันออกเคลื่อนเข้ามาปกคลุมอ่าวไทยและ
ประเทศไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้มีฝนตกชุกหนาแน่นและมี
ฝนตกหนักบางแห่งในระยะนี้
อนึ่ง ในช่วงวันที่ 2-3 ตุลาคม 2553 ร่องมรสุมจะมีกำลังแรงขึ้น โดยจะพาดผ่านภาค
กลางตอนล่าง ภาคใต้ตอนบน และภาคตะวันออก ทำให้บริเวณดังกล่าวมีฝนหนักในหลายพื้นที่ จึง
ขอให้ประชาชนบริเวณพื้นที่เสี่ยงภัยบริเวณจังหวัดกาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี และประจวบ
คีรีขันธ์ระมัดระวังอันตรายจากสภาวะน้ำท่วมฉับพลัน และน้ำป่าไหลหลากที่อาจจะเกิดขึ้นไว้ด้วย

พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยตั้งแต่เวลา 06:00 วันนี้ ถึง 06:00 วันพรุ่งนี้.
ภาคเหนือ
มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัด เชียงราย พะเยา
น่าน อุตรดิตถ์ ตาก พิษณุโลก พิจิตร และเพชรบูรณ์ อุณหภูมิต่ำสุด 23 องศา สูงสุด 35 องศา ลม
ตะวันออก ความเร็ว 10-25 กม./ชม.

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
มีฝนฟ้าคะนองเป็นแห่งๆ ร้อยละ 30 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัด อำนาจเจริญ
นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี
อุณหภูมิต่ำสุด 23 องศา สูงสุด 35 องศา ลมตะวันออก ความเร็ว 10-30 กม./ชม.

ภาคกลาง
มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณ
จังหวัดกาญจนบุรี และราชบุรี อุณหภูมิต่ำสุด 23 องศา สูงสุด 34 องศา ลมตะวันออก ความเร็ว
10-30 กม./ชม.

ภาคตะวันออก
มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 70 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดชลบุรี ระยอง
จันทบุรี และตราด อุณหภูมิต่ำสุด 24 องศา สูงสุด 34 องศา
ลมตะวันออก ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร ส่วนบริเวณที่มีฝนฟ้า
คะนองมีคลื่นสูง ประมาณ 2 เมตร

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก)
มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง บริเวณ
จังหวัดเพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร และสุราษฎร์ธานี
อุณหภูมิต่ำสุด 24 องศา สูงสุด 34 องศา ลมตะวันออก ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง
ประมาณ 1 เมตร ส่วนบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูง ประมาณ 2 เมตร

ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก)
มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 70 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดระนอง พังงา
ภูเก็ต และสตูล อุณหภูมิต่ำสุด 23 องศา สูงสุด 33 องศา
ลมแปรปรวน ความเร็ว 15-30 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูงประมาณ 1 เมตร

กรุงเทพมหานครและปริมณฑล
มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 70 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 25 องศา สูงสุด 34
องศา ลมตะวันออก ความเร็ว 10-30 กม./ชม.




ที่มา ตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย วันที่ 30/09/10 เวลา 8:21:40

กบข.เพิ่มลงทุนช่วงหุ้นวิ่ง

นางสาวโสภาวดี เลิศมนัสชัย เลขาธิการ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ(กบข.)
ระบุ กบข.เตรียมที่จะลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น โดยคาดว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทยสามารถจะปรับ
ตัวขึ้นได้อย่างต่อเนื่องไปถึง 1,000 จุด พิจารณาจากปัจจัยแวดล้อม ทั้งพื้นฐานเศรษฐกิจของไทย
ที่อยู่ในระดับดี รวมถึงบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ก็ยังมีผลประกอบการดี จึงสนับสนุนให้นักลงทุน
สนใจ โดยเฉพาะเม็ดเงินการลงทุนต่างชาติ ปัจจุบันกบข.ลงทุนในหุ้นไทยแล้วเป็นสัดส่วน
ประมาณ 10 %ของพอร์ตการลงทุนทั้งหมด เพิ่มขึ้นจากต้นปีที่อยู่ระดับประมาณ 9% เนื่องจาก
ในช่วงที่ผ่านมา ราคาหุ้นได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น และกบข.ได้ขายหุ้นบางส่วนเพื่อทำกำไร จึงทำให้ต้อง
ซื้อกลับเข้ามาชดเชย อย่างไรก็ตามกบข.คงจะไม่เพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้นไทยไปจนเต็ม
เพดานที่ระดับ 11.5%ในปี2553
สำหรับผลตอบแทนโดยเฉลี่ยจากการลงทุนช่วงเกือบ 9 เดือนที่ผ่านมา กบข.สามารถ
สร้างผลตอบแทนได้ที่ประมาณ 6.5% ลดลงเล็กน้อยจากสิ้นปีก่อนที่สามารถสร้างผลตอบแทน
โดยเฉลี่ยได้ที่ประมาณ 8.91% เนื่องจากในปี 2552 ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีอัตราการเติบโตค่อน
ข้างสูงกว่า 60-70% เพราะเป็นการเติบโตในฐานที่ค่อนข้างต่ำ ขณะที่ปีนี้มีอัตราการเติบโต
ประมาณ30%เท่านั้น
อย่างไรก็ตามนโยบายของกบข. จะเน้นลงทุนในตราสารหนี้ค่อนข้างสูงมากกว่า 60%
โดยในส่วนของการลงทุนตราสารหนี้ต่างประเทศนั้น มีการบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนเต็ม
มูลค่าอยู่แล้ว จึงไม่ได้รับผลกระทบใดๆจากภาวะเงินบาทแข็งค่า



ที่มา แนวหน้า วันที่ 30/09/10 เวลา 8:25:20

ดัชนีตลาดนอก + BID + น้ำม้นดิบ 30/09/53

ดัชนีดาวโจนส์ ตลาดหุ้นนิวยอร์ค ปิดที่ระดับ 10835.28 จุด ลดลง 22.86 จุดหรือ -0.21%
ดัชนี NASDAQ ตลาดหุ้นนิวยอร์ค ปิดที่ระดับ 2376.56 จุด ลดลง 3.03 จุด หรือ -0.13%
ดัชนี S&P ตลาดหุ้นนิวยอร์ค ปิดที่ระดับ 1144.73 จุด ลดลง 2.97 จุด หรือ -0.26%
ดัชนี FTSE ตลาดหุ้นลอนดอน ปิดที่ระดับ 5569.27 จุด ลดลง 9.17 จุด หรือ -0.16%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศส ปิดที่ระดับ 3737.12 จุด ลดลง 25.23 จุดหรือ -0.67%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมัน ปิดที่ระดับ 6246.92 จุด ลดลง 29.17 จุดหรือ -0.46%
ดัชนีค่าระวางเรือ BDI ประจำวันที่ 29 ก.ย. 53 ปิดที่ระดับ 2468 จุด ลดลง 36.00 จุด คิดเป็น -1.44%
ราคาน้ำมันดิบไลท์ล่วงหน้าสัญญาส่งมอบเดือนพฤศจิกายน ที่ตลาดนิวยอร์ค ปิดตลาดที่ราคา 77.86 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 1.68 ดอลลาร์ หรือ 2.21%

By>>>> E-finance-Thai

หุ้นครอบครัว PTT ทะยาน โบรกฯแนะซื้อ เว้น PTTCH รอขาย เหตุราคาแตะแนวต้าน 140

หุ้นครอบครัว PTT ทะยาน โบรกฯแนะซื้อ เว้น PTTCH รอขาย เหตุราคาแตะแนวต้าน 140
บาท

ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวราคาหุ้น ครอบครัวปตท. อาทิ บริษัท ปตท จำกัด
(มหาชน) (PTT) ,บริษัท ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด (มหาชน) (PTTAR)และ บริษัท
ปตท.เคมิคอล จำกัด(มหาชน) หรือ PTTCH และบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด
(มหาชน)(PTTEP) พบว่า ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น
บทวิเคราะห์ บล.กิมเอ็ง ประเมิน PTTAR โดยแนะนำ ซื้อโดยมีราคาเป้าหมาย
31.50 บาท โดยเห็นว่าราคาหุ้นยังไม่สะท้อนราคาพาราไซลีนที่ปรับตัวสูงขึ้นมาจนทำให้
spread margin ของพาราไซลีนพุ่งกลับมาอยู่ที่ 388 เหรียญ/ตัน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 14
เดือน (ราคา PTTAR สูงสุด 30 บาทในรอบ 14 เดือน) นอกจากนั้นแล้วราคาหุ้นยังคง laggard
หุ้นในกลุ่มพลังงานอยู่มากโดยปรับขึ้นเพียง 5% ในขณะที่กลุ่มพลังงานปรับขึ้น 14% ในปีนี้ ซึ่ง
เป็นผลมาจากการที่ผลประกอบการไตรมาส 2/53 ออกมาขาดทุน แต่เชื่อว่าผลประกอบการได้
ผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาสนั้นไปแล้ว
ด้านบทวิเคราะห์ บล. ธนชาต ประเมินสัญญาณทางเทคนิคของ PTTARแนะนำซื้อ
โดยคาดว่ามีกรอบความเคลื่อนไหวที่ 27.00-28.50 บาท แรงซื้อเริ่มมา ราคาเพิ่งข้ามผ่าน
27.00 บาท เป็นจังหวะซื้อระยะสั้น และเริ่มมีลักษณะที่แข็งแกร่งกว่าตลาด โดยมีแนวต้านถัดไป
28.50และเป้าหมายระยะสั้น 29.50 บาท
ส่วน PTTCH แนะรอขาย ให้กรอบเคลื่อนไหวไว้ที่130 บาท และแนวต้าน140 บาท
หากกลับขึ้นทะลุ 133.50 บาท จังหวะขึ้นต่อทดสอบแนวต้าน 140 บาท ซึ่งเป็นแนวต้านสำคัญ
เดิม เป็นจุดขายทำกำไร
ด้าน PTTEP แนะซื้อ ให้กรอบเคลื่อนไหวอยู่ที่ 148-158 บาท คาดว่าจะขึ้นทะลุ
153 บาทได้ มีเป้าหมายถัดไป 158 บาทและ PTTแนะ ซื้อ โดยคาดว่าราคาหุ้นจะเคลื่อนไหวใน
กรอบ290-305บาท คาดว่าจะขึ้นทะลุ 295 บาท ทดสอบแนวต้าน 305 บาท
ล่าสุดเมื่อเวลา 14.59น. ราคาหุ้น PTT อยู่ที่ 294.00บาท เพิ่มขึ้น 2.00บาทหรือ
0.68% มูลค่าการซื้อขาย1364.42 ล้านบาท ,PTTAR อยู่ที่ 27.75บาท เพิ่มขึ้น1.50 บาทหรือ
5.71% มูลค่าการซื้อขาย 1831.31ล้านบาท , PTTCH อยู่ที่ 135.50บาท เพิ่มขึ้น 7.50บาท
หรือ 5.86% มูลค่าการซื้อขาย 1381.55ล้านบาท และ PTTEP อยู่ที่ 152.00บาท เพิ่มขึ้น
3.00 บาทหรือ 2.01% มูลค่าการซื้อขาย 890.64ล้านบาท



เรียบเรียง โดย พรทิพย์ พลสิทธิ์
อนุมัติ โดย พิมพ์รภัส ศิริไพรวัน
อีเมล์แสดงความคิดเห็น commentnews@efinancethai.com




ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย วันที่ 29/09/10 เวลา 15:05:17

ดีแทค แนะนำแพ็กเกจใหม่ BeMail และ BeSocial สุดคุ้ม 299 บาท

ดีแทค แนะนำแพ็กเกจใหม่ BeMail และ BeSocial สุดคุ้ม 299 บาทพร้อมเปิด
ตัว “แบล็กเบอร์รี่ เคิร์ฟ 3G”

รายงานข่าวจากดีแทค แนะนำ 4 แพ็กเกจสำหรับแบล็กเบอร์รี่ใหม่ ครอบ
คลุมทุกไลฟ์สไตล์ที่แตกต่าง 1. BlackBerry Internet UNLIMIT 650 บาท/เดือน
หรือ 650 บาท/30 วัน สำหรับซิมแฮปปี้แบบเติมเงิน ครอบคลุมทุกการใช้งาน อาทิ
แชท รับ-ส่งอีเมล โซเชียลเน็ทเวิร์ก และใช้งานดีแทคอินเทอร์เน็ตได้ไม่จำกัด 2.
BlackBerry Life 350 บาท/เดือน หรือ 350 บาท/30 วัน สำหรับซิมแฮปปี้แบบเติม
เงิน ครอบคลุมแชท รับ-ส่งอีเมล โซเชียลเน็ทเวิร์ก โดยจะคิดค่าดีแทคอินเทอร์เน็ต
ตามแพ็กเกจหลักที่เลือกไว้ และอีก 2 รูปแบบ สำหรับเจาะตลาดคน Social Network
เพื่อผู้ใช้งานแบล็กเบอร์รี่เป็นทางเลือกและสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้มากยิ่งขึ้นใน
ชื่อ BlackBerry BeMail ที่เน้นการแชทและรับ-ส่งอีเมล (BlackBerry eMail, google.
yahoo, hotmail, msn, และ POP3/IMAP/OWA เป็นต้น) ค่าบริการ 299 บาท/เดือน
สำหรับผู้ใช้ซิมดีแทคแบบรายเดือน หรือ 299 บาท/30 วัน สำหรับซิมแฮปปี้แบบเติม
เงิน และ BlackBerry BeSocial ที่เน้นการแชทและการใช้งานโซเชียลเน็ทเวิร์ก
อาทิ Facebook, Twitter และ MySpace เป็นต้น ค่าบริการ 299 บาท/เดือนสำหรับผู้
ใช้ซิมดีแทคแบบรายเดือน หรือ 299 บาท/30 วัน สำหรับซิมแฮปปี้แบบเติมเงินเช่น
กัน
นอกจากนี้ ดีแทคยังได้แนะนำสมาร์ทโฟนใหม่ “แบล็กเบอร์รี่ เคิร์ฟ 3จี”
(BlackBerry® Curve& 8482; 3G) ที่มีจุดเด่นสามารถรองรับเครือข่าย 3G (HSDPA)
ได้ทั่วโลก ที่มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการแบล็กเบอร์รี่ 5 และสามารถรองรับพร้อมใช้งานกับ
ระบบปฏิบัติการแบล็กเบอร์รี่ 6 มีดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ของแบล็กเบอร์รี่ด้วยแป้น
คีย์บอร์ดแบบ QWERTY เต็มรูปแบบ เพื่อความรวดเร็วและสะดวกสบายในการป้อน
ข้อมูล และสามารถควบคุมสั่งงานทุกฟังก์ชั่นด้วยปลายนิ้วสัมผัส หรือ แทร็คแพด
(Trackpad) ที่ทำได้อย่างคล่องตัวและง่ายดายมากขึ้น และเพิ่มมีเดีย คีย์ส (Media
Keys) ที่ให้ผู้ใช้งานที่รักในเสียงดนตรี สามารถควบคุมการใช้งานสำหรับฟังเพลงและ
รับชมวิดีโอได้อย่างสะดวก วางจำหน่ายแล้วในราคา 12,500 บาท (รวมภาษีมูลค่า
เพิ่ม)
ทั้งนี้ ลูกค้าที่สนใจสามารถซื้อแบล็กเบอร์รี่จากดีแทคได้ตามช่องทางที่
ร่วมรายการกว่า 380 แห่ง ทั้ง สำนักงานบริการดีแทค ดีแทคเซ็นเตอร์ ร้านทีจีโฟน เจ
มาร์ท ไอ-โมบาย บลิสเทล และ ไออีซี ช็อป ที่ร่วมโครงการ หรือสอบถามเพิ่มเติม
โทร 1678 ดีแทค คอลล์เซ็นเตอร์.





เรียบเรียง โดย พิมพ์รภัส ศิริไพรวัน
อนุมัติ โดย ดวงสุรีย์ วายุบุตร์
อีเมล์แสดงความคิดเห็น commentnews@efinancethai.com




ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย วันที่ 29/09/10 เวลา 14:51:44

โบรกฯ ทำนายหุ้นไทยพรุ่งนี้ผันผวนในกรอบ 984-960 จุด

โบรกฯ ทำนายหุ้นไทยพรุ่งนี้ผันผวนในกรอบ 984-960 จุด เตือนระวังแรงขาย กลยุทธ์แนะ
เก็งกำไรระยะสั้นหุ้นกลุ่มแบงก์

โบรกฯ ทำนายหุ้นไทยพรุ่งนี้ผันผวนในกรอบ 984 - 960จุด เตือน นลท.ระวังแรงขาย
ทำกำไร หลังดัชนีฯหุ้นไทยวันนี้ทะยาน หลังทุนต่างชาติเข้าลุยหุ้นพลังงาน-แบงก์ กลยุทธ์แนะ
เก็งกำไรระยะสั้นหุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์

วันนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดที่ 969.65 จุด เพิ่มขึ้น 10.38 จุด หรือ 1.08% มูลค่าการ
ซื้อขาย 36,186.64 ลบ.
หลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับได้แก่
1.PTTAR ปิดที่ 27.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.25 บาท มูลค่าการซื้อขาย 2,752.54 ลบ.
2.PTT ปิดที่ 293.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท มูลค่าการซื้อขาย 2,324.21 ลบ.
3.BAY ปิดที่ 24.70 บาท เพิ่มขึ้น 1.20 บาท มูลค่าการซื้อขาย 2,227.33 ลบ.
4.PTTCH ปิดที่ 135.00 บาท เพิ่มขึ้น 7.00 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,834.54 ลบ.
5.TRUE ปิดที่ 5.10 บาท ลดลง 0.05 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,741.97 ลบ.
สรุปปริมาณการซื้อขายรายกลุ่ม นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 637.15 ล้านบาท นักลง
ทุนบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ขายสุทธิ 1,349.93 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 2,698.93
ล้านบาท และนักลงทุนทั่วไปขายสุทธิ 1,986.15 ล้านบาท

นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.เอเซีย พลัส เปิดเผย
ว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยวันนี้ดัชนีฯ เคลื่อนไหวในแดนบวก จากแรงซื้อสุทธิ นลท.ต่างชาติใน
กลุ่มพลังงานและกลุ่มธนาคารเป็นหลัก ขณะที่ปัจจัยในประเทศยังไม่มีประเด็นใหม่ที่เข้ามากระ
ทบการเคลื่อนไหวของดัชนีฯ ดังนั้นในช่วงนี้นักลงทุนจะต้องระวังความเสี่ยงมากขึ้น เพราะอาจ
จะมีแรงเทขายทำกำไรในหุ้นขนาดใหญ่ออกมา
ขณะที่ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นต่างประเทศ ดัชนี สเตรทไทม์: ตลาดหุ้นสิงคโปร์
ปิดตลาดที่ระดับ 3,106.03 จุด เพิ่มขึ้น 8.68 จุด หรือ 0.28 % ดัชนี คอมโพสิต: ตลาดหุ้น
อินโดนีเซีย ปิดตลาดที่ระดับ 3,495.46 จุด เพิ่มขึ้น 22.76 จุด หรือ 0.66 % ดัชนี ฮั่งเส็ง:
ตลาดหุ้นฮ่องกง ปิดตลาดที่ระดับ 22,378.67 จุด เพิ่มขึ้น 268.72 จุด หรือ 1.22 % ดัชนี
SHI: ตลาดหุ้นจีน ปิดตลาดที่ระดับ 2,610.68 จุด ลดลง 0.68 จุด หรือ -0.03 % ดัชนี นิกเก
อิ: ตลาดหุ้นญี่ปุ่น ปิดตลาดที่ระดับ 9,559.38 จุด เพิ่มขึ้น 63.62 จุด หรือ 0.67 %
สำหรับ ดัชนีหุ้นไทยวันพรุ่งนี้ คาดว่า จะความเคลื่อนไหวผันผวนอยู่ในกรอบ 984 -
960 จุด ประเมินแนวต้านอยู่ที่ 984 จุด แนวรับอยู่ที่ 960 จุด กลยุทธ์แนะเก็งกำไรระยะสั้นใน
หุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ โดยเฉพาะ BAY ยังน่าสนใจจากอัตราการเติบโตของรายได้ ที่ยังมี
ต่อเนื่องและมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นในปีหน้า โดยให้ราคาเป้าหมายปีหน้าอยู่ที่ 32 บาท



รายงาน โดย ชัชชญา อังคุลี
เรียบเรียง โดย อิทธิพล พันธ์ธรรม
อนุมัติ โดย พิมพ์รภัส ศิริไพรวัน
อีเมล์แสดงความคิดเห็น commentnews@efinancethai.com




ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย วันที่ 29/09/10 เวลา 17:31:07

ค่าเงินบาทเย็นนี้ปิดตลาดที่ 30.47 บาท/ดอลล์ แข็งค่าต่อเนื่องสูงสุดในรอบ 13 ปี

ค่าเงินบาทเย็นนี้ปิดตลาดที่ 30.47 บาท/ดอลล์ แข็งค่าต่อเนื่องสูงสุดในรอบ 13 ปี มองกรอบ
พรุ่งนี้ 30.40-30.55 บาท/ดอลล์

นักค้าเงินจากธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)(SCB) กล่าวว่า ค่าเงินบาทเย็นนี้
ปิดตลาดที่ระดับ 30.47 บาท/ดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับที่แข็งค่าสุดในรอบ 13 ปี โดยระหว่างวัน
เคลื่อนไหวแข็งค่าสุดที่ 30.46 บาท/ดอลลาร์ และอ่อนค่าสุดที่ 30.54 บาท/ดอลลาร์ เมื่อตอนเปิด
ตลาดในช่วงเช้า สำหรับแนวโน้มการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในระยะต่อไปมองว่ามีโอกาสขึ้น
ไปทดสอบที่ 30.30 บาท/ดอลลาร์ และหากหลุดกรอบดังกล่าวมีโอกาสแข็งค่าต่อเนื่องไปที่
30.00 บาท/ดอลลาร์
โดยแนวโน้มกรอบการเคลื่อนไหวในวันพรุ่งนี้อยู่ที่ 30.40-30.55 บาท/ดอลลาร์ โดย
ต้องติดตามปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับ Dollar Index ในภาพรวม รวมถึงติดตามปัญหาหนี้สาธารณะ
ของยุโรปว่าจะปะทุอีกครั้งหรือไม่ ซึ่งหากมีแนวโน้มในเชิงลบนักลงทุนอาจทำการเทขาย
สินทรัพย์เสี่ยงที่ไม่ใช่ดอลลาร์ ซึ่งจะทำให้สกุลเงินดอลลาร์กลับมาแข็งค่าขึ้นได้ แม้ว่าขณะนี้ทิศ
ทางของสกุลเงินดอลลาร์ยังมีโอกาสอ่อนค่าต่อเนื่อง นอกจากนี้ต้องติดตามนโยบายของจีนว่าจะมี
ความคืบหน้าอย่างไรเพื่อดูแลค่าเงินหยวน



รายงาน โดย ดลนภา บัญชรหัตถกิจ
เรียบเรียง โดย พรทิพย์ พลสิทธิ์
อนุมัติ โดย พิมพ์รภัส ศิริไพรวัน
อีเมล์แสดงความคิดเห็น commentnews@efinancethai.com




ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย วันที่ 29/09/10 เวลา 17:51:31

ต่างชาติซื้อสุทธิ 2698.93 ลบ. 29/09/53

สรุปปริมาณการซื้อขายรายกลุ่ม ต่างชาติซื้อสุทธิ 2698.93 ลบ.

วันนี้ดัชนีหุ้นไทยปิดตลาดที่ระดับ 969.65 จุด เพิ่มขึ้น 10.38 จุด หรือ 1.08% มี
มูลค่าการซื้อขาย 43,048.83 ล้านบาท

ประเภทนักลงทุน--------มูลค่าซื้อ(ลบ.) -------- มูลค่าขาย(ลบ.) -------- สุทธิ(ลบ.)
นักลงทุนสถาบัน -------- 2,172.77 -------- 1,535.62 -------- 637.15
บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ --------4,636.33 -------- 5,986.26 -------- (-1,349.93)
นักลงทุนต่างชาติ -------- 9,617.63 -------- 6,918.70 -------- 2,698.93
นักลงทุนทั่วไป -------- 26,622.10 -------- 28,608.26 -------- (-1,986.15)



เรียบเรียง โดย พรทิพย์ พลสิทธิ์
อนุมัติ โดย พิมพ์รภัส ศิริไพรวัน
อีเมล์แสดงความคิดเห็น commentnews@efinancethai.com




ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย วันที่ 29/09/10 เวลา 17:23:43

วันนี้มีบิ๊กล็อต 15 หลักทรัพย์ SCB ซื้อขายสูงสุด 296.54 ลบ.

หลักทรัพย์ -------จำนวนหุ้น ------- มูลค่า (ลบ.)

SCB ------- 2,867,300 ------- 296.5478
PTT ------- 598,700 ------- 175.9738
ADVANC -------1,630,000 ------- 154.8500
KBANK-F ------- 500,000 ------- 60.1250
BANPU-F ------- 61,650 ------- 44.1513
SCC------- 96,500 ------- 32.4134
PTT-F------- 52,300-------15.3804
TSF------- 11,094,000 ------- 10.3174
PTTCH ------- 72,000 ------- 9.7200
KBANK ------- 60,000 ------- 6.9420
BIGC ------- 106,200 -------6.8278
PTTEP-F ------- 44,000 ------- 6.6880
MAKRO ------- 25,100 -------3.6641
N-PARK ------- 6,000,000 ------- 0.2400
IEC ------- 5,000,000 ------- 0.1500




เรียบเรียง โดย อนุรักษ์ ลีประเสริฐสุนทร
อนุมัติ โดย พิมพ์รภัส ศิริไพรวัน
อีเมล์แสดงความคิดเห็น commentnews@efinancethai.com




ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย วันที่ 29/09/10 เวลา 17:02:28

ปิดตลาดฯ วันนี้ PTTCH-PTTEP-SCC ดันดัชนีฯ ยืนในแดนบวก

ผู้สื่อข่าวรายงานปิดตลาดฯ วันนี้ ตลาดหุ้นปิดในแดนบวกที่ระดับ 969.65 จุด เพิ่มขึ้น
10.38 จุด หรือ 1.08% ณ เวลา 16.44 น. มูลค่าการซื้อขายอยู่ที่ 43,002.52 ล้านบาท
ทั้งนี้ มี 3 หลักทรัพย์ที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยวันนี้ยืนในแดนบวกได้นั่น คือ PTTCH ปิดที่
ระดับ 135.00 บาท เพิ่มขึ้น 7.00บาท ราคาหุ้นที่ปรับเพิ่มขึ้นมีผลต่อตลาด 1.3224จุด และ
PTTEP ปิดที่ระดับ 152.00 บาท เพิ่มขึ้น 3.00 บาท ราคาที่ปรับเพิ่มขึ้นมีผลต่อตลาด 1.2465
จุด และ SCC ซึ่งปิดที่ระดับ 336.00 บาท เพิ่มขึ้น 7.00 บาท ราคาหุ้นที่ปรับเพิ่มขึ้นมีผล
ต่อตลาด 1.0523 จุด
ส่วนหุ้นที่กดดัชนีฯ ลดลงมากที่สุด คือ BEC ปิดที่ระดับ 38.50 บาท ลดลง 0.75
บาท ราคาหุ้นที่ปรับลดลงมีผลต่อตลาด -0.1879จุด TMB ปิดที่ระดับ 2.46 บาท ลดลง 0.02
บาท ราคาหุ้นที่ปรับลดลง มีผลต่อตลาด -0.1091 จุด และ GLOW ปิดที่ระดับ 42.75 บาท ลด
ลง 0 .50 บาท ราคาหุ้นปรับลดลง มีผลต่อตลาด -0.0916 จุด



เรียบเรียง โดย พรทิพย์ พลสิทธิ์
อนุมัติ โดย พิมพ์รภัส ศิริไพรวัน
อีเมล์แสดงความคิดเห็น commentnews@efinancethai.com




ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย วันที่ 29/09/10 เวลา 16:46:59

SETสิ้นวันปิดที่ 969.65 จุด เพิ่มขึ้น 10.38 จุด หรือ 1.08% มูลค่า 43,002.53 ลบ.

วันนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดที่ 969.65 จุด เพิ่มขึ้น 10.38 จุด หรือ 1.08%

วันนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดที่ 969.65 จุด เพิ่มขึ้น 10.38 จุด หรือ 1.08% ณ เวลา
16.44 น. มีมูลค่าการซื้อขาย 43,002.53 ลบ.

หลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับได้แก่
1.PTTAR ปิดที่ 27.50 บาท เพิ่มขึ้น 1.25 บาท มูลค่าการซื้อขาย 2,752.54 ลบ.
2.PTT ปิดที่ 293.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท มูลค่าการซื้อขาย 2,324.21 ลบ.
3.BAY ปิดที่ 24.70 บาท เพิ่มขึ้น 1.20 บาท มูลค่าการซื้อขาย 2,227.33 ลบ.
4.PTTCH ปิดที่ 135.00 บาท เพิ่มขึ้น 7.00 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,834.54 ลบ.
5.TRUE ปิดที่ 5.10 บาท ลดลง 0.05 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,741.97 ลบ.



เรียบเรียง โดย ดวงสุรีย์ วายุบุตร์
อนุมัติ โดย พิมพ์รภัส ศิริไพรวัน
อีเมล์แสดงความคิดเห็น commentnews@efinancethai.com




ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย วันที่ 29/09/10 เวลา 16:47:16

วันอังคารที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2553

เช้าวันนี้มีบิ๊กล็อต 4 หลักทรัพย์ KBANK-F ซื้อขายสูงสุด 60.12 ลบ.

หลักทรัพย์ ------ จำนวนหุ้น ------มูลค่า (ลบ.)
KBANK-F ------ 500,000 ------ 60.1250
PTTCH ------ 32,000 ------ 4.3200
IEC ------ 5,000,000 ------0.1500
N-PARK ------ 2,000,000 ------ 0.0800






เรียบเรียง โดย อนุรักษ์ ลีประเสริฐสุนทร
อนุมัติ โดย ดวงสุรีย์ วายุบุตร์
อีเมล์แสดงความคิดเห็น commentnews@efinancethai.com




ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย วันที่ 29/09/10 เวลา 12:43:37

ปิดตลาดฯ เช้าวันนี้ PTTCH-PTTEP- PTT ดันดัชนีฯ ยืนในแดนบวก

ผู้สื่อข่าวรายงานปิดตลาดฯ เช้าวันนี้ ตลาดหุ้นปิดในแดนบวกที่ระดับ
969.45จุด เพิ่มขึ้น 10.18 จุด หรือ 1.06% มูลค่าการซื้อขาย อยู่ที่ 22,788.87
ล้านบาท
ทั้งนี้ มี 3 หลักทรัพย์ที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยเช้านี้ยืนในแดนบวกได้นั่น คือ
PTTCH ปิดที่ระดับ 135.00 บาท เพิ่มขึ้น 7.00 บาท ราคาหุ้นที่ปรับเพิ่มขึ้น
มีผลต่อตลาด 1.3224 จุด และ PTTEP ปิดที่ระดับ 151.50 บาท เพิ่มขึ้น 2.50 บาท
ราคาที่ปรับเพิ่มขึ้นมีผลต่อตลาด 1.0388 จุด และ PTT ซึ่งปิดที่ระดับ 294.00
บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท ราคาหุ้นที่ปรับเพิ่มขึ้นมีผลต่อตลาด 0.7122จุด
ส่วนหุ้นที่กดดัชนีฯ ลดลงมากที่สุด คือ DELTA ที่ระดับ 27.50 บาท
ลดลง 0.75 บาท ราคาหุ้นที่ปรับลดลงมีผลต่อตลาด - 0.172 จุด TRUE ปิด
ที่ระดับ 5.10 บาท ลดลง 0.05 บาท ราคาหุ้นที่ปรับลดลง มีผลต่อตลาด -0.0443
จุด SSC ปิดที่ระดับ 45.75บาท ลดลง 1.25 บาท ราคาหุ้นปรับลดลงมีผล
ต่อตลาด - 0.0416จุด








เรียบเรียง โดย พรทิพย์ พลสิทธิ์
อนุมัติ โดย พิมพ์รภัส ศิริไพรวัน
อีเมล์แสดงความคิดเห็น commentnews@efinancethai.com




ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย วันที่ 29/09/10 เวลา 12:37:25

เช้าSETปิดที่969.45 จุด เพิ่มขึ้น10.18 จุด หรือ 1.06% มูลค่า 22,788.87 ลบ.

เช้าวันนี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดที่ 969.45 จุด เพิ่มขึ้น10.18 จุด หรือ 1.06%มูลค่า
การซื้อขาย 22,788.87 ลบ.

หลักทรัพย์ที่มีการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับได้แก่
1.PTTAR ปิดที่ 27.25 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,556.77 ลบ.
2.BAY ปิดที่ 24.20 บาท เพิ่มขึ้น 0.70 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,356.65 ลบ.
3.PTTCH ปิดที่ 135.00 บาท เพิ่มขึ้น 7.00 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,206.36 ลบ.
4.PTT ปิดที่ 294.00 บาท เพิ่มขึ้น 2.00 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,204.61 ลบ.
5.TRUE ปิดที่ 5.10 บาท ลดลง 0.05 บาท มูลค่าการซื้อขาย 1,110.22ลบ.




เรียบเรียง โดย อิทธิพล พันธ์ธรรม
อนุมัติ โดย พิมพ์รภัส ศิริไพรวัน
อีเมล์แสดงความคิดเห็น commentnews@efinancethai.com




ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย วันที่ 29/09/10 เวลา 12:38:07

กิมเอ็ง คาด PTT ยังถูกกดดันจากปัญหามาบตาพุด หลัง 33 ชุมชนนัดประท้วง

กิมเอ็ง คาด PTT ยังถูกกดดันจากปัญหามาบตาพุด หลัง 33 ชุมชนนัดประท้วงปิดทางเข้า-
ออกมาบตาพุด

บทวิเคราะห์ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุว่า คาดหุ้น PTT อาจยังคงถูกกดดันจาก
กรณีมายตาพุด เพราะในวันพรุ่งนี้กลุ่มผู้ชุมนุม 33 ชุมชนจะนัดชุมนิมเพื่อปิดทางเข้า – ออก
มาบตาพุด เพื่อกดดันรัฐบาล หลังยืนยันประกาศ 11 โครงการอันตราย น้อยกว่าที่คณะทำงาน 4
ฝ่ายเสนอไว้ที่ 18 โครงการอันตราย แม้ว่าโรงแยกก๊าซหน่วยที่ 6 ของ PTT จะไม่เข้าข่ายทั้ง 11
โครงการอันตราย หรือ 18 โครงการอันตรายก็ตาม แต่ด้วยปัจจัยดังกล่าว น่าจะกดดันราคาหุ้น
ของ PTT ต่อเนื่อง จนกว่าประเด็นนี้จะคลี่คลายลง



เรียบเรียง โดย อนุรักษ์ ลีประเสริฐสุนทร
อนุมัติ โดย ดวงสุรีย์ วายุบุตร์
อีเมล์แสดงความคิดเห็น commentnews@efinancethai.com




ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย วันที่ 29/09/10 เวลา 9:38:54

เอเซีย พลัส ชี้ราคา SAMTEL เต็มมูลค่า แนะโยกไปเล่น ADVANC แทน

บทวิเคราะห์บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า ราคาหุ้น SAMTEL เต็มมูลค่าให้ Switch ไป
เข้า ADVANC ซึ่งมีศักยภาพที่ดีกว่า โดยบ่ายวานนี้ รมว. กระทรวงเทคโนโลยีและการสื่อสาร
ได้อนุมติให้ TOT ลงทุน 1.9 หมื่นล้านบาท ในการลงทุนโครงข่าย 3G (ภายใต้คลื่นความถี่
1900 เมกะเฮิร์ซ) เพื่อขยายพื้นที่ให้บริการจากปัจจุบัน 4,700 สถานี เป็น 5,400 สถานี ให้
ครอบคลุมพื้นที่ กทม. และจังหวัดอื่นๆ รวม 12-15 จังหวัด หากขบวนการทุกอย่างเสร็จสิ้นตาม
แผน น่าจะสามารถให้บริการดังกล่าวได้ภายใน 6 เดือน
การอนุมัติครั้งนี้ดีต่อผู้ประกอบการสื่อสารใน 2 กลุ่มคือ 1) ผู้ประกอบการที่ให้บริการ
วางระบบงานโครงข่ายให้แก่ภาครัฐ คือ SAMTEL JTS, LOXLEY, AIT, MFEC แต่อย่างไร
ก็ตาม เนื่องจาก SAMTEL ทำธุรกิจกับ TOT มานาน ถืองานเป็นพันธมิตรที่ดี และมีโอกาสจะ
ชนะการประมูล โดยฝ่ายวิจัยได้รวมการประมูลงานนี้ไว้ในประมาณการปี 2553 และ 2554 แต่
กำหนดให้มีการร่วมทุนกับผู้ประกอบการเอกชนราวอื่น ๆ ในการทำงานครั้งนี้ ขณะที่ราคาหุ้น
วานนี้ได้ตอบรับข่าวดีดังกล่าว จนทำให้ราคาหุ้นเหลือ Upside เพียง 9% จึงปรับลดคำแนะนำ
จาก “ซื้อ” เป็น “ถือ”
2) ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ภาคเอกชน 3 ราย (ADVANC, DTAC, TRUE)
ที่ปัจจุบันยังคงให้บริการภายใต้ระบบ 2G ในขณะที่การประมูล 3G อาจจะล่าช้าไปถึงต้นปี
2555 เพราะมีการฟ้องร้องโดย CAT จึงต้องรอขบวนการชั้นศาล และรอให้หน่วยงานใหม่คือ
กสทช. ที่จะมาทำหน้าที่แทน กสช. ในอนาคต ความคืบหน้าในการขยาย 3G ของ TOT จึงเป็น
การเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนรายเดิมสามารถต่อยอดธุรกิจโดยการให้บริการ Non-voice เช่น
การส่งภาพ และข้อมูล โดยการเช่าโครงข่าย 3G ของ TOT ในลักษณะที่เรียกว่า MVNO ดังเช่น
ในปัจจุบันที่ TOT ได้ให้ภาคเอกชน 5 รายคือ SIM, LOXLEY, IEC, 365 Communication
และ M Consultant
โดยผู้ประกอบการเอกชนเหล่านี้ ไม่ต้องลงทุนโครงข่าย นอกจากการลงทุนระบบ
Billing และ Call Center และจะต้องจ่ายส่วนแบ่งรายได้ให้กับ TOT เท่านั้น อย่างไรก็ตาม
ปัจจุบันมีผู้ให้บริการ MVNO 5 ราย มีฐานสมาชิกรวมกัน เพียง 1.5 แสนราย จากหมายเลขทั้ง
หมด 5 แสนรายที่ TOT ได้ทำสัญญาตกลงกับภาคเอกชน 5 รายดังกล่าว ทั้งนี้เนื่องจากมีข้อ
จำกัดในการลงทุนโครงข่ายของ TOT เพราะการลงทุน TOT จะต้องได้รับการอนุมัติจาก ครม.
และที่สำคัญผู้ประกอบการเหล่านี้ไม่มีฐานสมาชิกลูกค้าเป็นของตนเอง การให้บริการของผู้
ประกอบการทั้ง 5 ราย จึงมุ่งเน้นให้บริการ Non-voice เป็นหลัก
ดังนั้นหากผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่รายเดิมรายใดรายหนึ่งใน 3 ราย ซึ่งปัจจุบัน
มีฐานลูกค้าอยู่ในมือแล้ว มีความสนใจที่จะทำธุรกิจ MVNO ก็น่าจะทำได้ง่ายกว่าผู้ประกอบการ
MVNO 5 รายดังกล่าว
แต่อย่างไรก็ตามการเดินหน้าของธุรกิจ 3G ภายใต้ TOT จะเป็นอย่างไร ขึ้นกับ
ประสิทธิภาพการบริการ และงบลงทุนในการขยายโครงข่าย สามารถครอบคลุมพื้นฐาน ที่ตลาด
ต้องการได้มากน้อยเพียงใด และในอนาคตเมื่อขบวนการออกใบอนุญาต 3G ภายใต้ กสทช. เกิด
ขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม การขยายธุรกิจ MVNO ก็อาจจะเป็นหมัน เพราะผู้ประกอบการเอกชนราย
ใหญ่ สามารถหันไปทำธุรกิจ 3G บนโครงข่ายของต้นเองได้ แม้มีพัฒนาในเชิงบวกต่อกลุ่มสื่อ
สาร แต่คาดว่าเป็นเพียง Sentiment ระยะสั้นเท่านั้น ฝ่ายวิจัยจึงยังให้น้ำหนักการลงทุนน้อยกว่า
ตลาด จึงยังแนะนำหุ้น Top pick คือ ADVANC โดยให้ Switch จาก SAMTEL มายัง
ADVANC




เรียบเรียง โดย อนุรักษ์ ลีประเสริฐสุนทร
อนุมัติ โดย ดวงสุรีย์ วายุบุตร์
อีเมล์แสดงความคิดเห็น commentnews@efinancethai.com




ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย วันที่ 29/09/10 เวลา 9:36:38

ฟินันเซียไซรัสชี้ SAMTEL-JTS-LOXLEY-AIT รับอานิสงส์ ครม.อนุมัติ3G

ฟินันเซียไซรัสชี้ SAMTEL-JTS-LOXLEY-AIT รับอานิสงส์ ครม.อนุมัติโครงการลงทุน
3G ของ TOT

บทวิเคราะห์ บล.ฟินันเซียไซรัส ระบุว่า ที่ประชุมครม.วานนี้ (28 ก.ย.) อนุมัติให้
'ทีโอที' ลงทุนแผนธุรกิจโครงสร้างโครงข่ายโทรศัพท์ระบบ 3G วงเงินราว 1.9 หมื่นลบ. เป็นโอกาส
ต่อ SAMTEL JTS LOXLEY AIT ในการเข้าร่วมประมูลงาน คาดว่าใช้ระยะเวลาโครงการติด
ตั้ง 2 ปี จากสมมุติฐานเบื้องต้น (1) มูลค่าโครงการที่ 1.744 หมื่นล้านบาท (2) โอกาสได้งาน
ของแต่ละบริษัทที่ 20% (3)คาดว่าใช้ระยะเวลาโครงการติดตั้ง 2 ปี (4) เริ่มรับรู้รายได้ในปี 11
ที่ 60% (5) Net margin ที่ 5% และ (6) อิง P/E ที่ 14 เท่า SAMTEL – คาดมูลค่าเพิ่มจาก
โครงการ 2.40 บาท จากราคาเป้าหมายเดิมที่ 9.80 บาท เป็น 12.24 บาท , JTS - คาดมูลค่า
เพิ่มจากโครงการ 2.10 บาท (ราคาปิดวันที่ 27 ก.ย.10 ที่ 1.94 บาท) , LOXLEY - คาดมูลค่า
เพิ่มจากโครงการ 0.70 บาท จากราคาเป้าหมายเดิมที่ 2.20 บาท เป็น 2.93 บาท , AIT - คาด
มูลค่าเพิ่มจากโครงการ 4.50 บาท จากราคาเป้าหมายเดิมที่ 40 บาท เป็น 44.50 บาท อย่างไร
ก็ตาม ขอให้ใช้ความระมัดระวังในการเก็งกำไรมาก เนื่องจากการแข่งขันน่าจะค่อนข้างมาก และ
เป็นโครงการใหญ่ที่อาจกระทบต่อฐานะทางการเงินหากประมูลได้



เรียบเรียง โดย อนุรักษ์ ลีประเสริฐสุนทร
อนุมัติ โดย ดวงสุรีย์ วายุบุตร์
อีเมล์แสดงความคิดเห็น commentnews@efinancethai.com




ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย วันที่ 29/09/10 เวลา 9:28:33

คาดหุ้นไทยเช้านี้แกว่งตัวขึ้น ให้แนวต้าน 965 จุด กลุ่มแบงก์-รับเหมาก่อสร้างเด่น

โบรกเกอร์ทำนายหุ้นไทยเช้านี้แกว่งตัวขึ้น หลังตลาดหุ้นนอกเขียวยกแผง คาดแนวรับ
อยู่ที่ 950 จุด แนวต้าน 965-970 จุด สั่งจับตาแบงก์ชาติประกาศตัวเลขเศรษฐกิจประจำเดือนใน
วันพรุ่งนี้ เชื่อตัวเลขออกมาดี แนะซื้อลงทุนกลุ่มธนาคารพาณิชย์ เพราะได้รับประโยชน์จากแนว
โน้มเศรษฐกิจที่ขยายตัว ส่วนรับเหมาก่อสร้างแนะเก็งกำไร

นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.พัฒนสิน กล่าวว่า แนวโน้ม
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยในวันนี้ คาดว่ามีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยได้รับอิทธิพลเชิงบวกจาก
ตลาดหุ้นต่างประเทศส่วนใหญ่ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น และการเคลื่อนไหวลดความผันผวนลงจากวานนี้
โดยดัชนีดาวโจนส์ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 46 จุด รวมถึงตลาดหุ้นในภูมิภาค
เอเชียส่วนใหญ่ที่เปิดการซื้อขายในแดนบวก และยังมีปัจจัยบวกเสริมจากราคาน้ำมันดิบในตลาด
โลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
โดยราคาน้ำมันดิบไลท์ล่วงหน้าสัญญาส่งมอบเดือนพฤศจิกายน ที่ตลาดนิวยอร์ค ปิด
ตลาดที่ราคา 76.52 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 3 เซนต์ หรือ 0.04% ส่วนดัชนีนิกเกอิ ตลาดหุ้น
ญี่ปุ่น เวลา 08:47 น. (ตามเวลาประเทศไทย) อยู่ที่ระดับ 9,534.41 จุด เพิ่มขึ้น 38.65 จุด ทั้งนี้
เปิดตลาดที่ระดับ 9,530.05 จุด ปิดตลาดครั้งก่อนที่ระดับ 9,495.76 จุด หรือ 0.41 %,ดัชนีเวท
เต็ด ตลาดหุ้นไต้หวัน เวลา 08:30 น. (ตามเวลาประเทศไทย) อยู่ที่ระดับ 8,241.37 จุด เพิ่มขึ้น
51.93 จุด ทั้งนี้เปิดตลาดที่ระดับ 8,241.65 จุด ปิดตลาดครั้งก่อนที่ระดับ 8,189.44 จุด หรือ
0.63 % และดัชนีสเตรทไทม์ ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เวลา 08:29 น.(ตามเวลาประเทศไทย) อยู่ที่
ระดับ 3,107.60 จุด เพิ่มขึ้น 10.25 จุด ทั้งนี้เปิดตลาดที่ระดับ 3,115.97 จุด ปิดตลาดครั้งก่อน
ที่ระดับ 3,097.35 จุด หรือ 0.33 %
'เมื่อวานนี้หุ้น Big Cap มีการพักตัว โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มพลังงาน แต่ยังมีหุ้นกลุ่ม
แบงก์ที่สามารถช่วยประคองดัชนีฯได้ ตลาดฯวันนี้คงมีความผันผวนน้อยลง และคงสามารถยืน
เหนือระดับ 950 จุดได้' นายชัย กล่าว
สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตาม คือ กรณีที่ในวันพรุ่งนี้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะ
มีการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจประจำเดือน โดยคาดการณ์ล่วงหน้าว่าข้อมูลที่ออกมาจะมีทิศทาง
เชิงบวก
กลยุทธ์การลงทุน แนะนำซื้อลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ เนื่องจากได้รับ
ประโยชน์จากแนวโน้มของเศรษฐกิจที่ยังสามารถขยายตัวได้ และหากธปท. ประกาศตัวเลขออก
มามีข้อมูลเชิงบวกก็จะเป็นอานิสงส์ต่อหุ้นกลุ่มดังกล่าว และเก็งกำไร โดยซื้อเมื่ออ่อนตัวในหุ้น
กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ให้แนวรับ 950 จุด แนวต้าน 965-970 จุด



รายงาน โดย ประลองยุทธ ผงงอย
เรียบเรียง โดย อนุรักษ์ ลีประเสริฐสุนทร
อนุมัติ โดย พิมพ์รภัส ศิริไพรวัน
อีเมล์แสดงความคิดเห็น commentnews@efinancethai.com




ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย วันที่ 29/09/10 เวลา 9:21:36

ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้านี้ที่ 30.50 บาท/ดอลล์ แข็งสุดในรอบ 13

ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้านี้ที่ 30.50 บาท/ดอลล์ แข็งสุดในรอบ 13 ปีคาดบ่ายนี้แข็งค่าต่อที่
30.40-30.55 บาท/ดอลล์

นักค้าเงินจากธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)(KBANK) กล่าวว่า ค่าเงินบาทเช้านี้
เปิดตลาดแข็งค่าที่สุดในรอบ 13 ปี ที่ 30.50 บาท/ดอลลาร์ โดยระหว่างวันคาดว่าจะยังคงแข็งค่า
ขึ้นต่อเนื่อง โดยมีกรอบการเคลื่อนไหวอยู่ที่ 30.40-30.55 บาท/ดอลลาร์ ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดจาก
Global Sentiment ของค่าเงินสกุลดอลลาร์ ที่นักลงทุนยังขายออกมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ค่า
เงินสกุลดอลลาร์อ่อนค่าลงและค่าเงินอื่นๆ เมื่อเทียบกับสกุลดังกล่าวแข็งค่าขึ้นทั้งสิ้น รวมถึงค่าเงิน
ในภูมิภาคเอเชียและประเทศไทยด้วย





รายงาน โดย ดลนภา บัญชรหัตถกิจ
เรียบเรียง โดย พรทิพย์ พลสิทธิ์
อนุมัติ โดย ดวงสุรีย์ วายุบุตร์
อีเมล์แสดงความคิดเห็น commentnews@efinancethai.com




ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย วันที่ 29/09/10 เวลา 9:21:48

ฉาย บุนนาค ขายหุ้น MAX ออก2 ล็อตรวม 8.28 % ส่งผลให้เหลือหุ้นในมือ 2.18%

ฉาย บุนนาค ขายหุ้น MAX ออก2 ล็อตรวม 8.28 % ส่งผลให้เหลือหุ้นในมือ 2.18%

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ได้รับแบบรายงานการจำหน่าย หุ้นของบมจ. แมกซ์ เมทัล คอร์ปอเรชั่น(MAX)
โดย นาย ฉาย บุนนาค ซึ่งเป็นการจำหน่าย เมื่อวันที่ 16/09/2553
จำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายคิดเป็น -3.92% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ
จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการจำหน่ายคิดเป็น 7.3% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ
และได้รับรายงานการจำหน่าย หุ้นของบมจ. แมกซ์ เมทัล คอร์ปอเรชั่น(MAX)
โดย นาย ฉาย บุนนาค ซึ่งเป็นการจำหน่าย เมื่อวันที่ 20/09/2553 จำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่าย
คิดเป็น -4.36% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการจำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการจำหน่าย
คิดเป็น 2.18% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ




เรียบเรียง โดย พรทิพย์ พลสิทธิ์
อนุมัติ โดย พิมพ์รภัส ศิริไพรวัน
อีเมล์แสดงความคิดเห็น commentnews@efinancethai.com




ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย วันที่ 29/09/10 เวลา 8:42:20

อนุมัติTOTขยาย3จี ทุ่ม1.9หมื่นล้านสร้างโครงข่าย AISขอเช่าเพื่อให้บริการลูกค้า

อนุมัติTOTขยาย3จี ทุ่ม1.9หมื่นล้านสร้างโครงข่าย AISขอเช่าเพื่อให้บริการลูกค้า ดีแทค
กลัวตกขบวนโดดซบกสท.

ครม.ฉวยจังหวะศาลปกครองฯระงับ กทช.เปิดประมูล 3 จี เปิดไฟเขียวให้'ทีโอที'ลงทุน1.9
หมื่นล้านขยายโครงข่าย 3 จี คาดไม่เกิน 6 เดือนคนในหัวเมืองใหญ่ได้ใช้แน่ ด้าน 'เอไอเอส'
ดิ้นขอเช่าโครงข่ายด้วย หลังวืดประมูลไลเซ่นส์ใบใหม่
นายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร (ไอซีที)เปิดเผยว่า
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)เมื่อวันที่ 28 กันยายนที่ผ่านมา ได้มีมติอนุมัติให้ บริษัท ทีโอที
จำกัด (มหาชน) หรือTOT ดำเนินการขยายโครงการ 3จี บนคลื่นความถี่ 1900 MHz ในวงเงิน
ลงทุน 19,000 ล้านบาท
พร้อมกันนี้ให้ ทีโอที จัดตั้งบริษัทลูกดำเนินการโครงการดังกล่าว เพื่อลดความเสี่ยง
ในการลงทุน ส่วนโครงข่ายที่จะให้บริการส่วนหนึ่งเป็นโครงข่ายที่ลงทุนใหม่ และโครงข่ายเดิมที่
จะปรับปรุง(อัพเกรด) เป็นระบบ3จี และจะใช้โครงข่ายร่วมหรือโครงข่ายของผู้ประกอบการราย
อื่นๆ เพื่อลดต้นทุน
'โครงการนี้จะลงทุนขยายโครงข่ายในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล รวมถึงอีก 12-
15 จังหวัดใหญ่ๆทั่วประเทศ ซึ่งอีก 6 เดือนน่าจะเห็น' นายจุติ กล่าว
มีรายงานข่าวแจ้งว่า เหตุผลหนึ่งที่ ครม.ได้อนุมัติโครงการครั้งนี้ เนื่องจากขณะนี้
เป็นช่วงที่ ศาลปกครองสูงสุดสั่งระงับการประมูลไลเซ่นส์ 3จีของ สำนักงานคณะกรรมการกิจการ
โทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) จึงเห็นเป็นโอกาสที่ควรลงทุน
ด้านนายวัชระ กรรณิการ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ครม.ได้รับ
ทราบข้อสังเกตของ กระทรวงการคลัง ซึ่งนายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง พูดชัดเจนว่า การลงทุน
3 จีครั้งนี้ เป็นการลงทุนในเชิงธุรกิจของ ทีโอทีเอง ซึ่งคลังจะไม่ค้ำประกันความเสี่ยงให้ ดังนั้นที่
ประชุมจึงมีมติให้ทีโอทีไปจัดทำแผนบริหารความเสี่ยงเพิ่มเติมด้วย ทั้งเรื่องกฎหมาย ธุรกิจ และ
การบริหารจัดการต่างๆ
ด้านนายวิเชียร เมฆตระการ หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ผู้บริหาร บริษัท แอดวานซ์
อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ เอไอเอส กล่าวว่า บริษัทสนใจที่จะขอเช่าใช้โครงข่ายของ
ทีโอที เพื่อให้บริการ3จี ในรูปแบบ MVNO ( Mobile Virtual Network Operator) โดยให้
บริษัทในเครือ 2 บริษัท คือ แอดวานซ์ โมบาย ดาต้า จำกัด และ บริษัทไวร์เลส ดีไวซ์ ซัพพลาย
จำกัด เป็นผู้ให้บริการ
อย่าง ไรก็ตาม เอไอเอส จำเป็นต้องดูเงื่อนไขรายละเอียดของทีโอทีก่อนว่า หลังจาก
ที่ครม.อนุมัติงบขยายโครงข่าย 3จีทั่วประเทศแล้วทาง ทีโอทีจะเปิดให้มีMVNO รายใหม่หรือ
ใหม่ จากที่ปัจจุบันมี MVNOแล้ว 5 ราย คือ สามารถ ไอ-โมบาย, 365 คอมมูนิเคชั่น,ล็อกซเล่ย์,
เอ็ม คอนเซ้าส์ และ บริษัท ไออีซี
'อย่าง ที่รู้คือ หลังจากการประมูลใบอนุญาต (ไลเซ่นส์) 3จีของกทช.ก็ล้มลงไป ดังนั้น
เอไอเอสจึงต้องพยายามหาทางที่จะสามารถให้ลูกค้าบริษัทได้ใช้ 3จีได้ ไม่ว่าจะทางใดก็ตาม เชื่อ
ว่าหากทีโอทีเปิดให้มีMVNO รายใหม่ ทาง เอไอเอสก็น่าจะมีสิทธิ์เพราะเรากับทีโอทีก็เป็น
พันธมิตรที่ดีต่อกันมาตลอด และเราก็มีโครงข่ายที่ครอบคลุมทั่วประเทศด้วย' นายวิเชียร กล่าว
แหล่งข่าวจาก บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค
บริษัทสนใจเช่าโครงข่ายจาก บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด(มหาชน)เพื่อให้บริการ 3จี
มากกว่า เนื่องจาก ดีแทค เป็นคู่สัญญาสัมปทานกับ กสท และสามารถเข้าร่วมใช้โครงข่ายระบบ
ซีดีเอ็มเอ ของ กสท ได้ และเครือข่าย ซีดีเอ็มเอ มีความเร็วเทียบเท่า หรือมากกว่าเครือข่าย
ระบบ 3 จี



ที่มา แนวหน้า วันที่ 29/09/10 เวลา 8:07:51

3G จุดพลุหุ้นเล็ก

ครม. จุดพลุหุ้นเล็กไอซีที หลังอนุมัติให้ ทีโอที ลงทุนโครงการ 3G มูลค่า 1.9 หมื่น
ล้านบาท ส่งผลหุ้นเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะผู้ทำธุรกิจบนโครงข่ายปรับขึ้นถ้วนหน้า รวมถึงบรรดาผู้
จำหน่ายเครื่องโทรศัพท์มือถือ โบรกเกอร์ชี้ รอบนี้ต้องยกนิ้วให้ JAS-SAMTEL

หุ้นเล็กบวกรับ 3G ทีโอที เดินหน้า
แม้งานประมูล 3G จะต้องยุติลงไป แต่ไม่ได้ทำให้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและ
การสื่อสารหมดเสน่ห์ลงแต่อย่างใด เพราะล่าสุดวานนี้ (28 ก.ย.) ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)
เห็นชอบโครงการลงทุนโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 3G ของบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) มูลค่า
โครงการ 1.9 หมื่นล้านบาท จากเดิมเป็นโครงการตั้งแต่สมัยที่ ร.ต.หญิงระนองรักษ์ สุวรรณฉวี
เป็นรมว.ไอซีที ได้เสนอให้ครม.เห็นชอบกรอบลงทุนที่วงเงิน 2.9 หมื่นล้านบาท แต่ที่ประชุม
ครม. เมื่อวันที่ 25 ส.ค.53 ได้ปรับลดกรอบลงทุนเหลือ 1.9 หมื่นล้านบาท และนั่นทำให้หุ้นเล็กๆ
ที่เกี่ยวข้องกับ 3G ต่างปรับขึ้นถ้วนหน้า นำโดย บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด
(มหาชน) หรือ JAS, บริษัท สามารถเทลคอม จำกัด (มหาชน) (SAMTEL) และ บริษัท จัสมิน
เทเลคอม ซิสเต็มส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JTS
โดยวันดังกล่าว JAS ปิดที่ระดับ 1.38 บาท เพิ่มขึ้น 0.08 บาท หรือ 6.15% มูลค่า
การซื้อขาย 983.28 ล้านบาท, SAMTEL ปิดที่ระดับ 10.60 บาท เพิ่มขึ้น 1.10 บาท หรือ
11.58% มูลค่าการซื้อขาย 622.38 ล้านบาท และ JTS ปิดที่ระดับ 2.12 บาท เพิ่มขึ้น 0.18
บาท หรือ 9.28% มูลค่าการซื้อขาย 76.05 ล้านบาท

โบรกฯ ชู JAS--SAMTEL-JTS โดดเด่น
นายรณกฤต สารินวงศ์ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.คันทรี่กรุ๊ป
กล่าวว่า จากกรณีที่ คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบโครงการลงทุนโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 3G
ของบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) มูลค่าโครงการ 1.9 หมื่นล้านบาทนั้น จะส่งผลดีต่อกลุ่มสื่อสาร
ขนาดเล็กที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจบนโครงข่าย 3G อย่างแน่นอน โดยเฉพาะบริษัท จัสมิน
อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS บริษัท สามารถเทลคอม จำกัด (มหาชน)
(SAMTEL) และบริษัทจัสมิน เทเลคอม ซิสเต็มส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JTS ซึ่งจะเกี่ยวข้องกัน
ในโครงการประมูลรับงานวางเครือข่ายในโครงการดังกล่าว
ทั้งนี้มองว่า SAMART ซึ่งเป็นบริษัทฯเอกชนที่เคยได้รับงานจาก บริษัท ทีโอที
จำกัด (มหาชน) แล้วนั้น จะมอบหมายงานต่อเนื่องไปยัง JAS ในการวางระบบ แต่อย่างไรก็ตาม
หากมองราคาหุ้น JAS ขณะนี้พบว่าราคาปรับสูงขึ้นเกิดพื้นฐานที่ 0.60 บาท ไปแล้ว จึงแนะนำให้
เพียงเก็งกำไรตามกระแสข่าวเท่านั้น โดยมีแนวต้านอยู่ที่ 1.50 บาท และแนวรับอยู่ที่ 1.35 บาท
ส่วนพื้นฐานผลงานด้านกำไรในปีนี้มองวาไม่ดีนัก อยู่ที่ประมาณ 900 ล้านบาท จากงวด 6 เดือน
ที่มีกำไร 366.57 ล้านบาท
ขณะที่หุ้นในกลุ่มที่กล่าวถึงนั้น ตัวที่น่าสนใจมากที่สุด แนะนำซื้อ JTS เนื่องจากราคา
ยังต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานที่ 2.50 บาท โดยมีแนวต้านอยู่ที่ 2.30 บาท และแนวรับอยู่ที่ 2.06 บาท
ซึ่งในส่วนของผลการดำเนินงานในปีนี้นั้น พบว่าผลงานในช่วงครึ่งปีแรก 2553 มีกำไรอยู่ที่ 92
บาท เท่ากับกำไรในปี 2552 ทั้งปี
ส่วนทั้งปีนี้ คาดว่าจะมีกำไรทั้งสิ้นประมาณ 170-180 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อน
ประมาณเท่าตัว ขณะเดียวกันแนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2554 มีโอกาสที่กำไรจะเติบโตขึ้น
เป็น 200-300 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้ราคาหุ้นพื้นฐานเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 4 บาทได้ ทั้งนี้แนวโน้มราย
ได้ที่จะเกิดขึ้นจากโครงการ 3G ดังกล่าวอาจมีการบันทึกในปีนี้บางส่วน และแบ่งไปบันทึกในปี
หน้าอีกส่วนหนึ่ง
นอกจากนี้ ในระยะต่อไปหากโครงการต่างๆ ดำเนินการเสร็จสิ้นได้ อาจส่งผลบวกต่อ
เนื่องในธุรกิจจำหน่ายโทรศัพท์มือถือ อาทิ JMART เป็นต้น แต่อาจได้รับประโยชน์ไม่มากนัก
ขณะเดียวกันในส่วนของ ADVANC, DTAC และ TRUE อาจต้องเข้าไปเสียค่าเช่าเครือข่าย
3G จากทีโอทีได้ เพื่อรอบรับความต้องการใช้บริการ 3G ของลูกค้าด้วย

ภาพหน่วยงานรัฐเปลี่ยน เล่นหุ้นสนุก
ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ มองว่าภาพของหน่วยงานรัฐที่ปรับเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา
ไม่ลงตัว ทำให้มองแนวโน้มอนาคตของธุรกิจสื่อสารได้ยาก เล่นหุ้นสนุก แต่คงทำให้ธุรกิจล้าหลัง
พัฒนาช้ากว่าเพื่อนบ้านไปอีกนาน
ส่วนการเปิดประมูลโครงข่าย 3G ของทีโอที คาดว่าการประมูลโครงข่ายจะทำให้เกิด
แรงเก็งกำไรในหุ้นที่รับงานประมูล ได้แก่ SAMTEL (ถือ 75% โดย SAMART) และ
LOXLEY นอกจากนี้หากทีโอทีมี Capacity ของโครงข่ายเพิ่ม จะทำให้ ADVANC มีโอกาส
ขอ Roaming บริการ 3G ของทีโอทีและกับบริการ Roaming การโทรด้วยเสียงของ
ADVANC ซึ่งจะทำให้ลูกค้าใน กทม. มีโอกาสใช้ 3G ได้เช่นกัน

ระบุโครงการ ทีโอที คืนทุน 7 ปี ให้ผลตอบแทน 19.49%
สำหรับแผนงานของ ทีโอที นั้น ในเบื้องต้น นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวง
เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือไอซีที ระบุว่า ทีโอที จะจัดตั้งบริษัทลูกขึ้นมา 1 แห่ง
เพื่อมาบริหารแผนงานในโครงการลงทุนระบบ 3G ของบริษัทเพื่อให้ประชาชนได้รับการบริการ
ในระบบอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ในราคาที่ไม่แพงมากนัก
นอกจากนี้ ยืนยันว่าทางทีโอทีไม่จำเป็นต้องประมูลการจัดทำโครงการระบบ 3G เนื่อง
จาก ทีโอที ได้รับการประกาศใบอนุญาตให้ดำเนินการแล้วเมื่อปี 2545 โดยได้ตั้งเป้าจะขยาย
โครงข่ายสถานีให้ได้ 5,400 แห่งทั้งในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล และจังหวัดใหญ่รวม 12-15
จังหวัด จากเดิมที่มีโครงข่ายอยู่แล้ว 4,700 แห่ง เพื่อให้ครอบคลุมกับประชาชนผู้ใช้บริการ โดย
คาดว่าจะมีความชัดเจนในอีก 6 เดือนข้างหน้า
ด้านนายวัชระ กรรณิการ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุม
ครม. ได้มีมติอนุมัติเงินลงทุนโครงการ 3G จำนวน 19,980 ล้านบาท ของบริษัททีโอที จำกัด
(มหาชน) (TOT) โดยเป็นการปรับลดจากวงเงินเดิมที่คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติไว้เมื่อวันที่ 9 ก.ย.
2551 วงเงิน 29,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นงบประมาณในส่วนของการประกวดราคาคิดเป็นวง
เงิน 17,440 ล้านบาท เงินลงทุนในอุปกรณ์เพื่อสนับสนุนขีดความสามารถโครงข่ายและการ
บริการให้ต่อเนื่อง วงเงิน 540 ล้านบาท ปรับปรุงโครงการเดิมของ บจ.เอซีที โมบาย จาก 2G
เป็น 3G วงเงิน 2 พันล้านบาท
ขณะที่ผลตอบแทนทางการเงินได้ประเมินไว้ที่ 19.49% คิดเป็นมูลค่า 11,411 ล้าน
บาท และช่วงเวลาคืนทุนจำนวน 7 ปี สำหรับจำนวนลูกค้าได้ตั้งเป้าไว้ที่ 7.4 ล้านเลขหมาย โดย
เพิ่มขึ้นจากเดิมที่กำหนดไว้เพียง 5 ล้านเลขหมายในปี 2548 โดยรูปแบบธุรกิจเป็นประเภทขาย
ส่ง
นอกจากนี้ยังประเมินส่วนแบ่งการตลาดของโครงการดังกล่าวไว้ที่ 8% จากยอดรวม
ของตลาด หรือคิดเป็น 91 ล้านเลขหมาย จากเดิมในปี 48 ที่กำหนดไว้เพียง 6% เท่านั้น
นอกจากนี้ ที่ประชุม ครม. ยังอนุมัติการเปลี่ยนแปลงวิธีการประมูลราคาอุปกรณ์โครง
ข่าย จากเดิมเป็นการประกวดราคาแบบสากล เปลี่ยนเป็นวิธีการประกวดราคาแบบทั่วไป เนื่อง
จากปัจจุบันบริษัทชั้นนำด้านโทรคมนาคมทุกบริษัทมีผู้แทนสาขาอยู่ในประเทศไม่ต่ำกว่า 5 ราย
ดังนั้นจึงมีผู้เข้าประกวดราคาในประเทศมากเพียงพอที่จะก่อให้เกิดการแข่งขันอย่างสมบูรณ์และ
นำมาซึ่งเทคโนโลยีที่ทันสมัย โดย ทีโอที จะยังได้รับผลประโยชน์ในด้านราคาอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมครม. ยังได้เปิดให้ผู้ประกอบการต่างชาติสามารถเข้าร่วมการ
ประมูลกับผู้ประกอบการภายในประเทศได้ เพื่อให้เกิดการเปิดกว้างสำหรับการประมูลโครงการ
ดังกล่าว โดยคาดว่าการประมูลในวิธีการประกวดราคาทั่วไปนั้นจะช่วยประหยัดระยะเวลาดำเนิน
การได้ โดยเบื้องต้นคาดว่าจะใช้ระยะเวลาประมูลประมาณ 60 วันและจะช่วยให้ ทีโอที สามารถ
พัฒนาระบบโครงข่ายระบบ 3G ได้แล้วเสร็จก่อนผู้ประกอบการรายอื่นๆ
นอกจากนี้ ที่ประชุม ครม. ยังได้มอบหมายให้บริษัท ทีโอที ไปจัดทำแผนบริหารความ
เสี่ยงในด้านของการจัดการลงทุนโครงการดังกล่าว เนื่องจากได้มีการตั้งข้อสังเกตในเรื่องของ
ความเสี่ยงในการดำเนินงานโครงการระบบ 3G ของ ทีโอที เพราะหลังจากนี้หากมีการจัดตั้ง
กสทช. ขึ้นเกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานดังกล่าว
อีกทั้งการเดินหน้าโครงการในครั้งนี้กระทรวงการคลังจะไม่ค้ำประกันความเสี่ยงให้
กับ ทีโอที เนื่องจากการลงทุนเป็นการทำธุรกิจในด้านเชิงพาณิชย์



เรียบเรียง โดย กานต์ธิดา หวานฉ่ำ
อีเมล์แสดงความคิดเห็น commentnews@efinancethai.com




ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย วันที่ 29/09/10 เวลา 8:11:52

ดัชนีตลาดหุ้นนอก+BDI+น้ำมันดิบ29/09/53

ดัชนีดาวโจนส์ ตลาดหุ้นนิวยอร์ค ปิดที่ระดับ 10858.14 จุด เพิ่มขึ้น 46.10 จุด หรือ 0.43%
ดัชนี NASDAQ ตลาดหุ้นนิวยอร์ค ปิดที่ระดับ 2379.59 จุด เพิ่มขึ้น 9.82 จุด หรือ 0.41%
ดัชนี S&P ตลาดหุ้นนิวยอร์ค ปิดที่ระดับ 1147.70 จุด เพิ่มขึ้น 5.54 จุด หรือ 0.49%
ดัชนี FTSE ตลาดหุ้นลอนดอน ปิดที่ระดับ 5578.44 จุด เพิ่มขึ้น 5.02 จุดหรือ 0.09%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศส ปิดที่ระดับ 3762.35 จุด ลดลง 3.81 จุดหรือ -0.10%
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมัน ปิดที่ระดับ 6276.09 จุด ลดลง 2.80 จุดหรือ -0.04%
ดัชนีค่าระวางเรือ BDI ประจำวันที่ 28 ก.ย. 53 ปิดที่ระดับ 2504 จุด เพิ่มขึ้น 53.00 จุด คิดเป็น 2.16%
ราคาน้ำมันดิบไลท์ล่วงหน้าสัญญาส่งมอบเดือนพฤศจิกายน ที่ตลาดนิวยอร์ค ปิดตลาดที่ราคา 76.18 ดอลลาร์/บาร์เรล ลดลง 34 เซนต์ หรือ 0.44%